วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เพลงชาติจีนเวอร์ชั่นพิเศษ: ภาพสะท้อนการเมืองจีนยุคเปลี่ยนผ่าน




เพลงชาติจีนเวอร์ชั่นพิเศษ: ภาพสะท้อนการเมืองจีนยุคเปลี่ยนผ่าน

ผู้เขียนพบเพลงชาติจีนเวอร์ชั่นพิเศษนี้ในหนังสือชื่อ บันทึกจากจีน เอกสารการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ สมัยที่ 1 ชุดที่ 5 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน แปลเป็นภาษาไทยโดย กลุ่มวิหคเหิรเมื่อ ค.ศ. 1979 โดยมีการระบุในหนังสือว่า ผู้แต่งทำนองเพลงชาติคือ เนี่ยเอ๋อร์ (聂耳) ส่วนคำร้องนั้นเป็นการร่วมกันประพันธ์ขึ้น ดังนี้

前进! 各民族英雄的人民
Qian jin ! ge min zu ying xiong de ren min
รุดหน้าไป ประชาชนทุกชนชาติที่อาจหาญ
伟大的共产党领导我们继续长征
Wei da de gong chan dang ling dao wo men ji xu chang zheng
พรรคคอมมิวนิสต์ที่ยิ่งใหญ่นำเราเดินทัพทางไกลต่อไป
万众一心奔向共产主义明天
Wan zhong yi xin ben xiang gong chan zhu yi ming tian
มวลชนร่วมใจมุ่งสู่คอมมิวนิสต์ในวันใหม่
建设祖国保卫祖国英勇地斗争
Jian she zu guo bao wei zu guo ying yong de dou zheng
สร้างสรรค์บ้านเมือง พิทักษ์บ้านเมือง ต่อสู้อย่างอาจหาญ
前进! 前进! 前进!
Qian jin! qian jin! qian jin!
รุดหน้า รุดหน้า รุดหน้า
我们千秋万代高举毛泽东旗帜
Wo men qian qiu wan dai gao ju mao ze dong qi zhi
พวกเราทุกๆชั่วคน ชูธงเหมาเจ๋อตงสูงเด่น
前进!高举毛泽东旗帜
Qian jin! gao ju mao ze dong qi zhi
รุดหน้าไป ชูธงเหมาเจ๋อตงสูงเด่น
前进! 前进! 前进!进!
Qian jin! qian jin! qian jin! jin!
รุดหน้า รุดหน้า รุดหน้า ไป

จะเห็นได้ว่าเพลงชาติจีนในยุคฮว่ากว๋อเฟิงนี้มีเนื้อหาเชิดชูการปฏิวัติตลอดกาลของเหมาเจ๋อตงอย่างชัดเจน คำถามก็คือ ฮว่าก๋อเฟิงเป็นใคร? และเหตุใดเขาจึงต้องเชิดชูคนที่ตายไปแล้วอย่างเหมาเจ๋อตงขนาดนั้นด้วย?

โดยทั่วไปเราจะรู้กันแต่ว่านับจากการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา จีนมีผู้นำรวม 4 รุ่น รุ่นแรกนำโดยเหมาเจ๋อตง รุ่นที่สองนำโดยเติ้งเสี่ยวผิง (邓小平) รุ่นที่สามนำโดยเจียงเจ๋อหมิน (江泽民) และรุ่นที่สี่ที่กำลังบริหารประเทศในปัจจุบันนำโดยหูจิ่นเทา (胡锦涛) แต่สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะมองข้ามไปก็คือ ช่วงรอยต่อระหว่างยุคของเหมาเจ๋อตงกับยุคของเติ้งเสี่ยวผิงนั้น ประเทศจีนมีนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และประธานกรรมาธิการทหารส่วนกลางที่ชื่อว่า “ฮว่ากว๋อเฟิง”

ฮว่ากว๋อเฟิง เกิดเมื่อ ค.ศ. 1920 ในมณฑลซานซี (山西) เขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคฯตั้งแต่ยังหนุ่ม หลังการสถาปนาประเทศจีนใหม่เมื่อ ค.ศ. 1949 เขาถูกส่งไปปฏิบัติงานที่มณฑลหูหนาน (湖南) บ้านเกิดของเหมาเจ๋อตง ณ ที่นั่นเขาได้สร้างผลงานไว้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปที่ดิน การจัดตั้งสหกรณ์การเกษตร การรณรงค์ให้คนใช้ภาษาจีนกลาง (普通话) จนกระทั่งปลายทศวรรษที่ 1950 เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้ว่าการมณฑลและเลขาธิการพรรคประจำมณฑลดังกล่าว ต่อมาในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม เขารอดพ้นจากการโจมตีของเรดการ์ด (红卫兵) แถมยังได้เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ ค.ศ. 1969 และอีกสองปีต่อมาเขาก็ได้เข้ามาทำงานในปักกิ่งและสอบสวนคดีการวางแผนยึดอำนาจของหลินเปียว (林彪) ผลงานการสอบสวนคดีดังกล่าวได้ทำให้ใน ค.ศ. 1973 เขาได้เลื่อนขึ้นเป็นหนึ่งในกรรมการกรมการเมือง และเมื่อถึงต้น ค.ศ. 1975 ก็ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ ถือได้ว่าเขาเป็นผู้ที่เจริญก้าวหน้าอย่างมากในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม

การเมืองจีนช่วง ค.ศ. 1971-1976 เป็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้นำ 2 ฝ่ายที่ต้องการสืบทอดอำนาจต่อจากเหมาเจ๋อตงซึ่งอยู่ในวัยชรา กลุ่มแรกนำโดยนางเจียงชิง (江青) ภรรยาของเหมา กับพรรคพวกที่เรียกกันว่า แก๊งสี่คน (四人帮) กลุ่มนี้เชิดชูเหมาเจ๋อตงอย่างเต็มที่และต้องการดำเนินการปฏิวัติวัฒนธรรมต่อไป กลุ่มที่สองนำโดยนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล (周恩来) และรองนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิง กลุ่มนี้เน้นความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากกว่าจะยึดมั่นในคัมภีร์อย่างสุดโต่ง การเผชิญหน้าของสองกลุ่มดำเนินมาถึงจุดสำคัญเมื่อนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคมะเร็งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 ฝ่ายเจียงชิงต้องการเสนอคนของตนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากแต่เหมาเจ๋อตงกลับเลือกเอา “ม้ามืด” อย่างฮว่ากว๋อเฟิงมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน สร้างความไม่พอใจให้แก่เจียงชิงเป็นอย่างมาก

การเมืองจีนที่ตึงเครียดได้ทำให้เมื่อฮว่ากว๋อเฟิงขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เขาพยายามเอาตัวรอดด้วยการพึ่งใบบุญของเหมาเจ๋อตง ครั้งหนึ่งเหมาได้เขียนข้อความถึงฮว่าว่า “มีคุณทำงาน ฉันก็วางใจได้” (你办事,我放心) ซึ่งต่อมาฮว่าได้ใช้ข้อความนี้เป็นข้ออ้างในความชอบธรรมทางการเมืองของตน นอกจากนี้เมื่อมีการชุมนุมไว้อาลัยอดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลและประท้วงแก๊งสี่คน ณ จัตรัสเทียนอันเหมินในเดือนเมษายน ค.ศ. 1976 ฮว่าซึ่งต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจียงชิงก็ได้โอนอ่อนตามแรงกดดันของนางโดยสั่งให้มีการปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรง นั่นเป็นจุดด่างพร้อยที่สำคัญในชีวิตทางการเมืองของเขา ฮว่าหมดที่พึ่งเมื่อเหมาถึงแก่อสัญกรรมในเดือนกันยายนของปีนั้น เมื่อไม่มีเหมาแล้ว ฮว่ารู้ดีว่าเจียงชิงจะต้องบ่อนทำลายอำนาจของเขาในไม่ช้า ด้วยเหตุนี้ ฮว่าจึงได้ร่วมมือกับจอมพลเย่เจี้ยนอิง (叶剑英) และกลุ่มของเติ้งเสี่ยวผิงในการกำจัดแก๊งสี่คนในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน และในปลายปีนั้นนายกรัฐมนตรีฮว่ากว๋อเฟิงก็ได้ควบตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานกรรมาธิการทหารส่วนกลางต่อจากเหมาเจ๋อตง สถานะของฮว่าตอนนั้นเปรียบเสมือนผู้นำสูงสุดของประเทศ

ด้วยเหตุที่ฮว่ากว๋อเฟิงเป็นผู้ที่ได้ดิบได้ดีในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ดังนั้นเมื่อขึ้นเป็นผู้นำประเทศแล้ว เขาจึงต้องการระดมแรงสนับสนุนทางการเมืองด้วยการแสดงตนว่าเป็นผู้สืบทอดอุดมการณ์ต่อจากเหมาเจ๋อตง แม้ในส่วนลึกเขาจะไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงที่เหมาใช้ในการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ฮว่าก็ยังยึดมั่นในการพัฒนาประเทศแบบเหมา เขากล่าวว่า “อะไรก็ตามที่ประธานเหมากำหนดไว้ เราต้องสนับสนุน อะไรก็ตามที่ประธานเหมาเคยชี้แนะ เราต้องทำตาม” ในการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 11 เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1977 ฮว่าได้กล่าวสุนทรพจน์โดยเอ่ยชื่อเหมาเจ๋อตงถึง 178 ครั้ง! ช่วงนี้เราจะเห็นรูปของฮว่ากว๋อเฟิงแขวนอยู่คู่กับรูปของเหมาเจ๋อตงตามสถานต่างๆทั่วไป และเพลงชาติจีนเวอร์ชั่นพิเศษก็เป็นผลิตผลของยุคนี้ด้วย

ทว่า แนวทางของฮว่ากว๋อเฟิงนำมาซึ่งการเผชิญหน้ากับ “สิงห์เฒ่า” อย่างเติ้งเสี่ยวผิงผู้เห็นว่า หากปล่อยให้ฮว่าเดินหน้าเชิดชูเหมาต่อไปแบบนี้ ตนก็ไม่อาจนำความคิดเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจโดยอาศัยกลไกตลาดมาทำให้เกิดเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้เติ้งจึงจำเป็นต้อง “เขี่ย” ฮว่าให้พ้นไปจากเวทีการเมืองให้ได้ โดยอาศัยข้อได้เปรียบที่ว่าตนมีประสบการณ์ทางการเมือง ความอาวุโส อำนาจเชิงบารมี และพรรคพวกมากกว่าฮว่าหลายเท่า ในที่สุดหลังจาก ค.ศ. 1978 เป็นต้นมา ฮว่ากว๋อเฟิงก็ค่อยๆหมดบทบาทและอำนาจลงไป ตำแหน่งประธานกรรมาธิการทหารส่วนกลางกลายเป็นของเติ้งเสี่ยวผิง ตำแหน่งประธานพรรคตกอยู่กับหูเย่าปัง (胡耀邦) และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตกอยู่กับจ้าวจื่อหยาง (赵紫阳) ซึ่งทั้งสองต่างเป็นคนของเติ้งทั้งสิ้น เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1980 ชื่อของฮว่ากว๋อเฟิงก็หายไปจากเวทีการเมืองจีน เขาเสียชีวิตลงเมื่อ ค.ศ. 2008 รวมอายุ 87 ปี

และสิ่งหนึ่งที่หายไปพร้อมกับชีวิตทางการเมืองของฮว่ากว๋อเฟิงด้วยก็คือ เพลงชาติจีนเวอร์ชั่นพิเศษ นั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น: