วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

ปักกิ่งปะทะฮาวานา: ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาช่วง ค.ศ. 1964 – 1995 (ตอนที่ 9 บรรยากาศที่ดีขึ้นชั่วคราวในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาเมื่อถึงต้นทศวรรษ 1970)


ในปลายทศวรรรษ 1960 ต่อต้นทศวรรษ 1970 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาที่ตึงเครียดมาตั้งแต่ ค.ศ. 1965 นั้นมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเล็กน้อยโดยมีปัจจัยเอื้ออำนวยอยู่สามประการ ปัจจัยแรกคือการลดลงของกระแสซ้ายจัดในการเมืองจีนเมื่อถึง ค.ศ. 1968 และความพยายามของจีนที่จะฟื้นฟูความเสียหายด้านการต่างประเทศที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยในเดือนมกราคมของปีนั้น โจวเอินไหลได้ออกคำสั่งให้นักการทูตจีนอยู่ในวินัยอย่างเคร่งครัด และในวันแรงงานของ ค.ศ. 1969 เหมาเจ๋อตงได้กล่าวกับคณะทูตต่างประเทศบนประตูเทียนอันเหมินว่าจีนพร้อมที่จะปรับปรุงและพัฒนาความสัมพันธ์กับนานาประเทศ[1] และในปีเดียวกันจีนได้เริ่มส่งเอกอัครรัฐทูตกลับไปประจำการในต่างประเทศอีกครั้งหลังจากที่หยุดไปตั้งแต่ ค.ศ. 1967

ปัจจัยเอื้ออำนวยประการที่สองคือ การที่ทั้งจีนและคิวบาต่างมีความเห็นตรงกันในหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1970 โดยเมื่อนายพลลอนนอล (Lon Nol) ก่อการรัฐประหารโค่นล้มสมเด็จพระนโรดม สีหนุ (Norodom Sihanouk) แห่งกัมพูชาเมื่อเดือนมีนาคมของปีนั้นโดยมีสหรัฐอเมริกาสนับสนุน ทั้งจีนคิวบาต่างก็รับรองรัฐบาลพลัดถิ่นของสีหนุที่กรุงปักกิ่ง และต่อมาเมื่อนักลัทธิมากซ์อย่างซัลวาดอร์ อัลเยนเด (Salvador Allende) ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีของชิลีในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน จีนก็แสดงความยินดีและสนับสนุนนโยบายของอัลเยนเดในการขจัดอิทธิพลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ[2] รวมทั้งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับชีลีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมของปีนั้น นับเป็นประเทศที่สองในลาตินอเมริกาต่อจากคิวบาที่จีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตได้สำเร็จ ขณะที่คิวบาเองก็สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับชิลีในปีถัดมา 

ผู้แทนของจีนแสดงความดีใจที่จีนได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติใน ค.ศ. 1971


ปัจจัยเอื้ออำนวยประการที่สามคือ ความสำเร็จของจีนในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแทนที่ไต้หวันเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1971 หลังจากที่พยายามมาถึง 22 ปี โดยที่คิวบาเป็นผู้สนับสนุนจีนในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 1960 แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะอยู่ในสภาวะตึงเครียดในครึ่งหลังของทศวรรษดังกล่าวก็ตาม ฟิเดล คาสโตรให้สัมภาษณ์กับสื่อของเม็กซิโกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1971 ว่าการเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของจีนจะทำให้ประเทศในลาตินอเมริกามีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับจีนมากยิ่งขึ้น และสถานะของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคดังกล่าวกำลังถูกสั่นคลอน[3] ขณะที่สุนทรพจน์ของเฉียวกว้านหัว (Qiao Guanhua) ผู้แทนของจีนในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติในเดือนเดียวกันก็ได้ขอบคุณบรรดาประเทศที่ให้การสนับสนุนเรื่องนี้ ความตอนหนึ่งว่า

 

ด้วยการยึดมั่นในหลักการและความยุติธรรม ทั้ง 23 ประเทศที่เสนอมตินี้อันประกอบไปด้วยแอลเบเนีย แอลจีเรีย พม่า ซีลอน คิวบา อีเควทอเรียลกินี กินี อิรัก มาลี มอริเตเนีย เนปาล ปากีสถาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเยเมน สาธารณรัฐประชาชนคองโก โรมาเนีย เซียร์ราลีโอน โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย สาธารณรัฐอาหรับเยเมน ยูโกสลาเวีย และแซมเบียได้พยายามอย่างไม่ลดละและบังเกิดผลในการฟื้นคืนสิทธิอันชอบธรรมของจีนในองค์การสหประชาชาติ ... ในนามของรัฐบาลและประชาชนจีน ข้าพเจ้าขอขอบคุณจากใจไปยังรัฐบาลและประชาชนของประเทศเหล่านี้[4]

 

บรรยากาศของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาที่ผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปนั้นดูได้จากในวันแรงงาน ค.ศ. 1970 ที่เหมาเจ๋อตงได้กล่าวกับผู้รักษาการแทนเอกอัครรัฐทูตคิวบาประจำกรุงปักกิ่งบนประตูเทียนอันเหมินว่า “ต้องการคิวบา ไม่ต้องการสหรัฐอเมริกา”[5] ต่อมาในเดือนกรกฎาคมของปีเดียวกัน จีนได้ส่งคณะผู้แทนไปเยือนคิวบาเพื่อร่วมงานฉลองวันกบฏแห่งชาติ (Day of the National Rebellion)[6] ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1965 ที่จีนส่งคณะเดินทางไปเยือนคิวบา และฝ่ายคิวบาก็ได้จัดงานฉลองครบรอบ 10 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับคิวบาที่กรุงฮาวานา[7] รวมทั้งส่งบัลโดเมโร อัลวาเรส (Baldomero Alvarez) ประธานสมาคมมิตรภาพคิวบา-จีนมาเยือนจีนในเดือนตุลาคมของปีนั้น[8] ขณะที่จีนก็ส่งเอกอัครรัฐทูตกลับไปประจำยังกรุงฮาวานาอีกครั้งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1970 และในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1971 โจวเอินไหลได้เข้าร่วมงานฉลองวันปฏิวัติคิวบาที่สถานทูตคิวบาในกรุงปักกิ่งพร้อมกับแสดงความหวังที่จะเปิดศักราชใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ[9]

            อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาที่มีเค้าลางว่าจะดีขึ้นกลับเลวร้ายลงเมื่อถึง ค.ศ. 1972 อันเป็นผลจากการสมานไมตรีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น และจีนเริ่มลดระดับความรุนแรงในการวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ทั้งนี้โจวเอินไหลกล่าวรายงานต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 10 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนกันยายน ค.ศ. 1973 ว่าจีนจำเป็นต้องประนีประนอมกับประเทศจักรวรรดินิยมอย่างสหรัฐฯ เพื่อต่อสู้กับลัทธิแก้ของสหภาพโซเวียต โดยเขายกตัวอย่างของเลนินที่เคยสงบศึกกับประเทศจักรวรรดินิยมอย่างเยอรมนีในต้น ค.ศ. 1918 ด้วยการทำสนธิสัญญาแบรสต์-ลิตอฟสก์ (The Brest-Litovsk Treaty) เพื่อความอยู่รอดของการปฏิวัติรัสเซีย[10] ตรงข้ามกับคิวบาที่ยังคงมองสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

ความแตกต่างระหว่างจีนกับคิวบานั้นเห็นได้ชัดเจนเมื่อประธานาธิบดีอัลเยนเดแห่งชิลีสั่งยึดกิจการของเอกชนมาเป็นของรัฐจนกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุน จนรัฐบาลอเมริกันสนับสนุนให้นายพลออกุสโต ปิโนเชต์ (Augusto Pinochet) ก่อรัฐประหารสำเร็จเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1973 และอัลเยนเดได้ฆ่าตัวตาย แม้บทความใน ปักกิ่งรีวิว จะระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นฝีมือของ “พลังปฏิกิริยา” ทั้งในและนอกชิลี และโจวเอินไหลได้ส่งจดหมายไปแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของอัลเยนเดและยกย่องให้เขาเป็นเสมือนมรณสักขี (martyr)[11] แต่จีนก็มิได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลใหม่ของชิลีแต่อย่างใด มีแต่การเรียกเอกอัครรัฐทูตกลับประเทศเป็นการชั่วคราวก่อนที่จะส่งกลับไปปฏิบัติงานที่กรุงซันติอาโกอีกครั้งในกลางปีถัดมา[12] ตรงข้ามกับคิวบาและประเทศสังคมนิยมส่วนใหญ่ที่ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับชิลี ทั้งนี้ฟิเดล คาสโตรได้กล่าวสุนทรพจน์วิจารณ์จีนในเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1976 ความว่า

 

มีหลายครั้งที่ลัทธิจักรวรรดินิยมได้ฉุดรั้งการปลดแอกในบางประเทศเช่นชิลี หลายครั้งที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร หรือการสนับสนุนให้รัฐบาลในบางประเทศปราบปรามนักปฏิวัติหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกให้หมู่พลังที่ก้าวหน้า ดังเช่นที่เกิดขึ้นในขบวนการชาตินิยมอาหรับ และที่ไร้ยางอายอย่างมากก็คือ บางคนที่อยู่ในขบวนการปฏิวัติกลับส่งเสริมยุทธศาสตร์เช่นนี้โดยทรยศต่อหลักการของลัทธิสากลนิยมของชนชั้นกรรมาชีพ อาจเป็นเพราะความหลงตัวเอง ความไม่คงเส้นคงวาเชิงอุดมการณ์ ความทะเยอทะยานส่วนตัว หรืออาจเป็นเพราะความถดถอยและอ่อนแอเนื่องจากชรา ดังเช่นกรณีของกลุ่มที่หยิ่งผยองและเสียสติซึ่งกุมชะตากรรมของประเทศจีนเอาไว้[13]

 
            นอกจากการสมานไมตรีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาแล้ว การที่คิวบาในทศวรรษ 1970 มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตมากขึ้นก็ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์กับจีนย่ำแย่ลงไปอีก คิวบาเข้าเป็นสมาชิกสภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ (The Council for Mutual Economic Assistance) หรือโคเมคอน (COMECON) อันเป็นองค์กรความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1972 และเมื่อถึง ค.ศ. 1974 จีนกับคิวบาได้ตกลงกันว่านับจากนี้การค้าระหว่างสองฝ่ายจะยึดตามราคาตลาดโลกเป็นหลัก[14] หรือเท่ากับยุติการค้าตามราคาคงที่ (fixed price) ซึ่งที่ผ่านมาจีนมักซื้อน้ำตาลจากคิวบาในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลก ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างสองฝ่ายตั้งแต่ ค.ศ. 1975 ลดลง โดยเมื่อถึง ค.ศ. 1977 มีมูลค่าการค้าเหลืออยู่เพียง 113 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1961
-------------------------------------------------------

[1] Han Nianlong (ed.), Diplomacy of Contemporary China (Hong Kong: New Horizon Press, 1990), 261.
[2] Wang Chien-hsun, Changes in Relations Between Peiping and Latin American Countries (Taipei: World Anti-Communist League, China Chapter, 1973), 26-27.
[3] “Castro’s Activities in Chile,” in Castro Speech Database http://lanic.utexas.edu/project/castro/db/1971/19711111-4.html; accessed 4 March 2017.
[4] Peking Review, 19 November 1971, 5-6.
[5] หวังเจียรุ่ย, เรื่องเดียวกัน, 100.
[6] วันที่ระลึกถึงขบวนการปฏิวัติของฟิเดล คาสโตรซึ่งเริ่มก่อการครั้งแรกในวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1953
[7] Wang Chien-hsun, ibid., 25.
[8] Peking Review, 20 November 1970, 21.
[9] หวังเจียรุ่ย, เรื่องเดียวกัน, 100.
[10] Peking Review, 7 September 1973, 23-24.
[11] Peking Review, 21 September 1973, 3, 22.
[12] หวงจื้อเหลียง, เรื่องเดียวกัน, 91.
[13] Michael Taber (ed.), Fidel Castro Speeches: Cuba’s Internationalist Foreign Policy 1975-80 (New York: Pathfinder Press, 1981), 108. 
[14] สวีซื่อเฉิง, เรื่องเดียวกัน, 297.

ไม่มีความคิดเห็น: