วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือในยุคสงครามเย็น (ตอนที่ 4 จบ)


การก่อตัวของความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการระหว่างจีนกับเกาหลีใต้


            เกาหลีใต้ในช่วง ค.ศ. 1961 – 1979 ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการของประธานาธิบดีปักจุงฮีถือได้ว่าประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง โดยใน ค.ศ. 1965 ประชากรเกาหลีใต้กว่าร้อยละ 40 ยังอยู่ใต้เส้นความยากจน (poverty line) แต่เมื่อถึง ค.ศ. 1980 กลับลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 10 ขณะที่รายได้ต่อหัวของประชากรเพิ่มจาก 100 เหรียญสหรัฐในต้นทศวรรษ 1960 ไปเป็น 1,000 เหรียญสหรัฐเมื่อสิ้นทศวรรษถัดมา[1] ความสำเร็จดังกล่าวเป็นที่สนใจของผู้นำจีนอยู่ไม่น้อย โดยในการประชุมเพื่อปฏิรูประบบการค้ากับต่างประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1978 หลี่เซียนเนี่ยนซึ่งขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีได้ตั้งคำถามว่า “เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวันเป็นเพียงประเทศและเขตเล็กๆ แต่มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของพวกเขาสูงกว่าเรามาก ทำไมพวกเราจึงแซงหน้าพวกเขาไม่ได้”[2] และในการประชุมปฏิบัติงานเพื่อเตรียมการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายนถึงวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1978 ก็ได้มีการหารือเกี่ยวกับตัวแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ และหนึ่งในประเทศที่ถูกนำมาพิจารณาก็คือเกาหลีใต้[3]   

            นอกจากนี้ จีนยังเริ่มสนใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเกาหลีใต้อีกด้วย ซึ่งสอดรับกับนโยบายของประธานาธิบดีปักจุงฮีที่ต้องการสานสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยมภายหลังการเยือนจีนของประธานาธิบดีนิกสันเมื่อ ค.ศ. 1972 หรือเท่ากับเป็นการยกเลิกหลักการฮอลสไตน์ (The Hallstein Doctrine) ในความสัมพันธ์กับต่างประเทศของเกาหลีใต้[4] การค้าทางอ้อมระหว่างจีนกับเกาหลีใต้ผ่านฮ่องกงและญี่ปุ่นเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1979 และเปลี่ยนเป็นการค้าทางตรงในอีก 2 ปีต่อมา และเมื่อถึง ค.ศ. 1985 มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับเกาหลีใต้ก็แซงหน้ามูลค่าการค้าระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือไปอย่างถาวร (ดูตารางที่ 1) โดยจีนส่งออกข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถ่านหิน สิ่งทอ และไหมไปยังเกาหลีใต้ ส่วนเกาหลีใต้ส่งออกสินค้าจำพวกเหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สำหรับเครื่องจักร และปุ๋ยเคมีไปยังจีน[5] และตลอดทศวรรษ 1980 จีนได้ผ่อนคลายกฎระเบียบที่เคยเข้มงวดหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่นแต่เดิมจีนไม่เคยเรียกชื่ออย่างเป็นทางการของเกาหลีใต้ แต่เรียกว่า “ก๊กหุ่นเชิดปักจุงฮี” (The Park Chung Hee puppet clique) ด้วยถือว่ามีแต่รัฐบาลเปียงยางเท่านั้นที่เป็นรัฐบาลเกาหลีที่ชอบธรรม แต่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1983 เมื่อพลเรือนจีน 6 คนจี้เครื่องบินจากเมืองเสิ่นหยาง (Shenyang) ไปยังกรุงโซล จีนก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปยังเกาหลีใต้เพื่อคลี่คลายปัญหา หรือที่เรียกกันว่า “การทูตจี้เครื่องบิน” (hijack diplomacy)และเอกสารของจีนในครั้งนั้นได้เรียกเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐเกาหลี”[6] และในปีถัดมาเมื่อนักกีฬาจากเกาหลีใต้มาร่วมแข่งขันเทนนิสที่เมืองคุนหมิง (Kunming) จีนก็อนุญาตให้มีการประดับธงชาติเกาหลีใต้[7] นอกจากนี้จีนยังได้กำหนดกติกาใหม่ด้วยว่า หากองค์การระหว่างประเทศใดที่จีนเป็นสมาชิกอยู่แล้วได้มอบหมายให้เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมแบบพหุภาคี จีนก็สามารถส่งคนไปร่วมได้ และถ้าจีนเป็นเจ้าภาพในกรณีเดียวกัน เกาหลีใต้ก็สามารถส่งคนเดินทางมายังจีนได้เช่นกัน[8]
 
                               หยางซ่างคุนกับคิมอิลซุงเมื่อ ค.ศ. 1988
 
 
            การก่อตัวของความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการระหว่างจีนกับเกาหลีใต้เกิดขึ้นโดยได้รับความเห็นชอบจากเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของจีนที่มองว่านอกจากจีนจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว ความสัมพันธ์ดังกล่าวยังเป็นประโยชน์ต่อการรวมชาติของจีนอีกด้วย เพราะในทศวรรษ 1980 เกาหลีใต้เป็น 1 ใน 2 ประเทศในทวีปเอเชียที่ยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน (อีกประเทศหนึ่งคือซาอุดีอาระเบีย) แต่เติ้งก็เน้นย้ำว่าเรื่องดังกล่าวจะต้องดำเนินไปโดยคำนึงถึงความรู้สึกของเกาหลีเหนือ[9] ดังจะเห็นได้จากเมื่อเกิดกรณี “การทูตจี้เครื่องบิน” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ของทางการจีนติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของทางการเกาหลีใต้ จีนได้ส่งอู๋เสวียเชียน (Wu Xueqian) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปอธิบายต่อคิมอิลซุงว่าเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อนโยบายเกาหลีเดียวของจีนแต่อย่างใด[10] และเมื่อจีนส่งนักกีฬาไปเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพเมื่อ ค.ศ. 1988 ประธานาธิบดีหยางซ่างคุนได้บอกกับคิมอิลซุงว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่นำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้[11] อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงในการเมืองโลกเมื่อสิ้นทศวรรษ 1980 ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นสุดความของขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และการสิ้นสุดของสงครามเย็นได้ทำให้ในที่สุดแล้วจีนไม่อาจรักษานโยบายเกาหลีเดียวไว้ได้อีกต่อไป

---------------------------------------------------


                        [1] Don Oberdorfer, The Two Koreas: A Contemporary History (New York, NY: Basic Books, 1997), 37
                [2] Li Lanqing, Breaking Through: The Birth of China’s Opening-Up Policy, trans. Ling Yuan and Zhang Siying (Hong Kong: Oxford University Press and Foreign Language Teaching and Research Press, 2009), 358. 
                [3] Ibid., 217.
                [4] Ahn Byung-joon, “South Korea and the Communist Countries,” Asian Survey 20 (November 1980): 1102. หลักการดังกล่าวมาจากชื่อของวอลเตอร์ ฮอลสไตน์ (Walter Hallstein) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเยอรมนีตะวันตกที่ประกาศไว้เมื่อ ค.ศ. 1955 ว่าประเทศของเขาจะตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับทุกประเทศที่รับรองเยอรมนีตะวันออก (ยกเว้นสหภาพโซเวียต) ซึ่งเมื่อนำมาใช้ในกรณีนี้หมายถึงการที่เกาหลีใต้จะไม่มีความสัมพันธ์กับประเทศใดก็ตามที่รับรองเกาหลีเหนือ   
                [5] Lee, ibid., 147.
                [6] Ibid., 107.
                [7] Ibid., 109.
                [8] เฉียนฉีเชิน, บันทึกการทูตจีน 10 เรื่อง, แปลโดย อาทร ฟุ้งธรรมสาร (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2549), 216.
                [9] เพิ่งอ้าง, 217-218.
                [10] Lee, ibid., 107
                [11] Ibid., 113.  




ตารางที่ 1

มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้

ช่วง ค.ศ. 1983 – 1989

 

ค.ศ.
มูลค่าการค้ากับเกาหลีเหนือ
(ล้านเหรียญสหรัฐ)
มูลค่าการค้ากับเกาหลีใต้
(ล้านเหรียญสหรัฐ)
1983
527.7
120
1984
498.2
434
1985
488.3
1,161
1986
509.3
1.289
1987
513.3
1,679
1988
579.0
3,087
1989
562.7
3,143

ที่มาของข้อมูล: Chae-Jin Lee, China and Korea: Dynamic Relations (Stanford, CA: Hoover Institution Press, 1996), 140, 146.
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น: