1. เจิ้งเหอในสมัยก่อนสงครามฝิ่น
นโยบายกองเรือมหาสมบัติของจักรพรรดิหย่งเล่อและจักรพรรดิเซวียนเต๋อได้ก่อให้เกิดแรงต่อต้านจากบรรดาขุนนางและปัญญาชนซึ่งมองว่านโยบายดังกล่าวเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยและขัดกับหน้าที่ของรัฐตามแบบขงจื๊อ จนนำไปสู่การยกเลิกนโยบายดังกล่าวหลัง ค.ศ. 1435 และต่อมาก็มีการเผาทำลายเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการเดินเรือในครั้งนั้น ด้วยเหตุนี้เรื่องราวของเจิ้งเหอจึงเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเมื่อราชวงศ์หมิงเข้าสู่ช่วงแห่งความตกต่ำในศตวรรษถัดมา จึงได้มีความพยายามในการรื้อฟื้นเรื่องราวของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
ราชวงศ์หมิงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ประสบกับปัญหาความวุ่นวายจากทั้งภายนอกและภายใน โดยภายนอกนั้นจีนต้องเผชิญกับโจรสลัดญี่ปุ่น (倭寇) รวมทั้งข้อเรียกร้องทางการค้าของโปรตุเกส จนจีนต้องยกเอ้าเหมิน (澳门) หรือมาเก๊าให้ไปเมื่อ ค.ศ. 1557 ขณะเดียวกันก็มีการทำสงครามกับมองโกลระหว่าง ค.ศ. 1540 ถึง ค.ศ. 1573 และเหตุการณ์ที่บั่นทอนอำนาจของราชวงศ์หมิงลงเป็นอย่างมากก็คือ สงครามกับญี่ปุ่นบนคาบสมุทรเกาหลีใน ค.ศ. 1593 และ ค.ศ. 1597 ซึ่งราชสำนักต้องเสียค่าใช้จ่ายไปในสงครามครั้งละ 10,000,000 ตำลึง และทำให้ราชวงศ์หมิงอยู่ในสภาวะเกือบล้มละลาย (ไรสเชอร์ และแฟรแบงค์, 2510, น. 669-670) และเมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ราชวงศ์หมิงก็ต้องเผชิญกับการรุกรานของชาวแมนจูจนนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์ในที่สุด
ส่วนภายในราชสำนักหมิงเอง จักรพรรดิเจียจิ้ง (嘉靖 ครองราชย์ ค.ศ. 1521 – ค.ศ. 1566) ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการแสวงหายาอายุวัฒนะและมิได้ออกว่าราชการเป็นเวลาหลายปี ส่วนจักรพรรดิว่านลี่ (万历ครองราชย์ ค.ศ. 1572 – ค.ศ. 1620) ถึงแม้ว่าจะเป็นรัชสมัยที่รุ่งเรืองในทางวรรณคดี หากแต่พระองค์ก็ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยทรงใช้เงินกว่า 90,000 ตำลึงเพื่อการอภิเษกสมรสของพระองค์ และ 12,000,000 ตำลึงเพื่อจ่ายให้กับเชื้อพระวงศ์ และอีกกว่า 9,000,000 ตำลึงเพื่อสร้างพระราชวังใหม่ (ไรสเชอร์ และแฟรแบงค์, 2510, น. 685) รวมทั้งยังทรงละเลยการบริหารราชการและปล่อยให้อำนาจอยู่ในมือของขันที เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง อำนาจทางการเมืองจึงตกอยู่กับขันทีเว่ยจงเสียน (魏忠贤) ผู้ซึ่งกุมอำนาจต่อมาจนถึง ค.ศ. 1627
ในปลายราชวงศ์หมิงนี้เองที่ได้เกิดวรรณกรรมเกี่ยวกับเจิ้งเหอขึ้นมาสองเรื่อง เรื่องแรกคือนวนิยายที่ชื่อ การเดินทางท่องทะเลตะวันตกของขันทีซานเป่า (三宝太监下西洋记通俗演义) หรือที่เรียกสั้นๆว่า บันทึกการท่องทะเลตะวันตก (ซีหยางจี้) แต่งโดย หลัวเม่าเติง (罗懋登) เมื่อ ค.ศ. 1597 โดยในเรื่องระบุว่า การเดินเรือของเจิ้งเหอมีจุดประสงค์เพื่อตามหาตราแผ่นดินที่สูญหายไป ซึ่ง Finlay (1992) ได้วิเคราะห์ว่า การตามหาตราแผ่นดินกลับคืนมาสะท้อนให้เห็นว่าผู้แต่งนั้นไม่พอใจกับสภาพที่เสื่อมโทรมของราชวงศ์หมิง และต้องการให้จีนกลับมายิ่งใหญ่และเป็น “อาณาจักรกลาง” อย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง เฉกเช่นในสมัยของเจิ้งเหอ (Finlay, 1992, pp. 235-236)
วรรณกรรมเรื่องที่สองคือบทละครเรื่อง ขันทีซานเป่ารับพระราชโองการท่องทะเลตะวันตก (奉天命三宝下西洋) แต่งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1615 โดยไม่ปรากฏนามผู้แต่ง หากแต่ก็เป็นบทละครที่ใช้เล่นกันในราชสำนักของจีน โดยตอนหนึ่งของเรื่องได้เล่าว่า กองเรือของเจิ้งเหอแล่นเข้าไปในน่านน้ำที่เป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน บรรดากษัตริย์ทั้งหลายในดินแดนแถบนั้นก็พากันยกพลมาล้อมเรือของเจิ้งเหอเอาไว้ พร้อมกับเรียกร้องขอผ้าไหมและเครื่องกระเบื้องเคลือบจากจีนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่เจิ้งเหอจะสามารถเดินเรือผ่านได้อย่างปลอดภัย เจิ้งเหอจึงคิดกลอุบายด้วยการหลอกกษัตริย์เหล่านี้ว่า แท้จริงแล้วเครื่องกระเบื้องเคลือบของจีนนั้นงอกออกมาจากต้นไม้ และบนเรือของเขาก็มีต้นกระเบื้องเคลือบ (porcelain tree) ให้ชมด้วย เหล่ากษัตริย์ต่างพากันหลงเชื่อและเดินขึ้นไปบนเรือของเจิ้งเหอ ทำให้เจิ้งเหอสามารถจับกุมกษัตริย์เหล่านี้ได้โดยง่าย Levathes (1994) ได้ชี้ให้เห็นว่า ละครฉากดังกล่าวสะท้อนความเฉลียวฉลาดของเจิ้งเหอ รวมทั้งความปรารถนาของผู้แต่งที่ต้องการให้จีนกลับมามีแสนยานุภาพทางทะเลเฉกเช่นเมื่อครั้งต้นราชวงศ์หมิง (Levathes, 1994, pp. 188-189)
หลังจากที่ราชวงศ์หมิงล่มสลายลง จักรพรรดิในยุคต่อมาคือราชวงศ์ชิง (清朝ค.ศ. 1644 – ค.ศ. 1912) ยังคงแสดงจุดยืนอย่างเป็นทางการว่าไม่สนับสนุนการค้าทางทะเล โดยเมื่อ ค.ศ. 1662 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในจักรพรรดิคังซี (康熙ครองราชย์ ค.ศ. 1661 – ค.ศ. 1722) ได้มีคำสั่งห้ามมิให้เมืองท่าต่างๆของจีนค้าขายกับต่างประเทศ ยกเว้นการติดต่อตามระบบบรรณาการเท่านั้น[1] นอกจากนี้ราชวงศ์ชิงยังได้บทเรียนจากราชวงศ์หมิงว่า การปล่อยให้ขันทีเข้ามามีบทบาททางราชการนั้นส่งผลเสียหายร้ายแรงเพียงใด ตัวเอ่อร์กุน (多尔衮) เจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงต้นรัชสมัยซุ่นจื้อ (顺治ครองราชย์ ค.ศ. 1643 – ค.ศ. 1661) ถึงกับเคยมีความคิดว่าควรยกเลิกระบบขันที ต่อมาใน ค.ศ. 1655 จักรพรรดิซุ่นจื้อก็ได้มีรับสั่งห้ามมิให้ขันทีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างเด็ดขาด โดยทำเป็นแผ่นป้ายจารึกตั้งไว้ที่ประตูหน้าพระตำหนักเจียวไท่ (交泰殿) ในพระราชวังต้องห้าม (หลี่กั๋วหญง, 2004, น. 185)[2] ส่วนจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆ครองราชย์ ค.ศ. 1735 - ค.ศ. 1795) ก็เคยรับสั่งว่าการรู้หนังสือทำให้ขันทีละโมบและทะเยอทะยานได้ง่ายขึ้น ขันทีจึงควรเรียนหนังสือแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (Rawski, 1998, p. 192) หนังสือ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง (明史) ที่นักประวัติศาสตร์ราชสำนักชิงเรียบเรียงเสร็จใน ค.ศ. 1739 จึงมิได้ให้ความสำคัญกับการเดินเรือของขันทีอย่างเจิ้งเหอมากนัก โดยกล่าวถึงเจิ้งเหออยู่เพียงประมาณ 700 ตัวอักษรจีน และได้อธิบายว่านโยบายกองเรือมหาสมบัติเป็นการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย และสิ่งของมีค่าที่จีนได้รับมาก็ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไป อย่างไรก็ตามหนังสือดังกล่าวยังคงยอมรับว่า ในมุมมองที่ไม่ใช่ของทางราชการแล้ว การเดินเรือของเจิ้งเหอถือเป็นความสำเร็จของจีนในต้นราชวงศ์หมิง (ดูคำแปลของหนังสือดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับเจิ้งเหอได้ในภาคผนวก 1 ของ Dreyer, 2007, pp. 187-191)
2. เจิ้งเหอหลังสงครามฝิ่นจนถึงสมัยสาธารณรัฐจีน
เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ราชวงศ์ชิงก็ประสบกับปัญหาความวุ่นวายจากทั้งภายในและภายนอก การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรได้นำไปสู่ความอดอยากและการกบฏ ขณะเดียวกันข้อพิพาททางการค้ากับอังกฤษก็ได้นำไปสู่การเกิดสงครามฝิ่น (鸦片战争) เมื่อ ค.ศ. 1840 และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจีนและการลงนามสนธิสัญญานานกิง (南京条约) เมื่อ ค.ศ. 1842 หลังจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 จีนต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม การกบฏ การปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิงใน ค.ศ. 1911 และสงครามกลางเมืองระหว่างขุนศึกในช่วงต้นของสาธารณรัฐจีน ในยุคที่มืดมนและตกต่ำของจีนนี้เองที่ชื่อของเจิ้งเหอได้ปรากฏขึ้นต่อสาธารณชนอีกครั้งหนึ่ง
ใน ค.ศ. 1904 เหลียงฉี่เชา (梁启超) ปัญญาชนนักปฏิรูปผู้เชื่อมั่นในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีจักรพรรดิทรงเป็นประมุข[3] ได้เขียนบทความเรื่อง เจิ้งเหอ: นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่แห่งมาตุภูมิ (祖国大航海家郑和传) ลงในหนังสือพิมพ์ ซินหมินฉงเป้า (新民丛报) โดยเขาได้เปรียบเทียบว่าการเดินเรือของเจิ้งเหอเกิดขึ้นก่อนการเดินเรือของโคลัมบัสกว่า 60 ปี และก่อนวาสโก ดา กามาถึง 70 กว่าปี การเดินเรือของเจิ้งเหอจึงถือเป็น “เกียรติภูมิในประวัติศาสตร์ของประเทศ” (国史之光) (จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005) นักวิชาการจีนอย่างสือผิง (时平) ได้วิเคราะห์ว่า บทความดังกล่าวสะท้อนความคิดทางการเมืองของเหลียงฉี่เชาอยู่สามประการคือ (1) การกระตุ้นจิตสำนึกชาตินิยมเพื่อให้ประเทศจีนสามารถยืนอยู่ได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก โดยมีเจิ้งเหอเป็นตัวแบบ (2) สถาบันจักรพรรดิยังมีคุณประโยชน์ต่อประเทศจีน ดังเช่นจักรพรรดิที่ปรีชาสามารถอย่างหย่งเล่อผู้เคยส่งกองเรือของเจิ้งเหอออกไปสร้างความยิ่งใหญ่มาแล้ว ดังนั้นแนวทางที่เหมาะสมในการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของจีนก็คือ การมีการปกครองแบบราชาธิปไตยทรงภูมิธรรม (开明专制)[4] และ (3) สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จีนอ่อนแอและไม่อาจต้านทานการรุกรานของจักรวรรดินิยมได้ก็คือ การขาดแสนยานุภาพทางทะเล ดังนั้นจีนจึงควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างอำนาจทางทะเลเหมือนเมื่อครั้งเจิ้งเหอในต้นราชวงศ์หมิง (สือผิง, 30 พฤษภาคม 2005) กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า เหลียงฉี่เชานำเอาเจิ้งเหอมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นฟูเกียรติภูมิและความยิ่งใหญ่ของจีน
ต่อมาใน ค.ศ. 1919 ซึ่งเป็นปีแห่งการปฏิวัติเชิงปัญญาความคิดของจีน หรือที่รู้จักกันว่า “ความเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม” (五四运动)[5] ดร.ซุนยัดเซ็น หรือซุนจงซาน (孙中山) นักปฏิวัติและผู้นำพรรคกั๋วหมินตั่ง (国民党) ได้เขียนบทความเรื่อง แผนการสร้างประเทศ (建国方略) โดยมีความตอนหนึ่งกล่าวถึงเจิ้งเหอว่า
เจิ้งเหอใช้เวลาเพียง 14 เดือนก็สามารถสร้างเรือใหญ่ 64 ลำได้สำเร็จ บรรทุกผู้คนกว่า 28,000 คนไปท่องทะเลใต้[6] สำแดงอำนาจของจีนให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศ ถือได้ว่าเป็นผลงานที่หาได้ยากทั้งในอดีตและอนาคต ทุกวันนี้ผู้คนในทะเลใต้ยังคงหวนระลึกถึงความน่าเกรงขามที่ซานเป่าได้ทิ้งไว้เมื่อครั้งกระโน้น ถือได้ว่าเป็นความยิ่งใหญ่ ปัจจุบันนี้ถ้าให้คนจีนเอาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเครื่องจักรกลจากต่างประเทศมาสร้างเรือหนึ่งลำที่มีขนาด 3,000 ตัน ยังถือว่าเป็นเรื่องยากเลย ลองคิดดูสิว่าความสำเร็จของเจิ้งเหอนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด?
(จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005)
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตามข้อตกลงที่ประเทศสัมพันธมิตรทำกันไว้ในการประชุมไคโร (The Cairo Conference) เมื่อ ค.ศ. 1943 และการประชุมปอตสดัม (The Potsdam Conference) เมื่อ ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นในฐานะผู้แพ้สงครามต้องส่งมอบดินแดนที่ยึดมาจากประเทศอื่นๆตั้งแต่ ค.ศ. 1895 คืนให้แก่เจ้าของเดิมทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ที่ญี่ปุ่นยึดไปจากจีนเมื่อทศวรรษ 1930 ดังนั้นเมื่อสาธารณรัฐจีนได้กลับมามีอำนาจเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้อีกครั้ง จึงได้นำเอาเจิ้งเหอมาเป็นสัญลักษณ์ของการได้อำนาจอธิปไตยคืนมา โดยใน ค.ศ. 1947 รัฐบาลสาธารณรัฐจีนได้ประกาศตั้งชื่อแนวปะการังแนวหนึ่งในหมู่เกาะหนานซา (南沙群岛) หรือสแปรตลีย์ (The Spratly Islands) ว่า “แนวปะการังเจิ้งเหอ” (郑和群礁) และตั้งชื่อหมู่เกาะซีกตะวันตกและตะวันออกของหมู่เกาะซีซา (西沙群岛) หรือพาราเซล (The Paracel Islands) ว่า “หมู่เกาะหย่งเล่อ” (永乐群岛) และ “หมู่เกาะเซวียนเต๋อ” (宣德群岛) ตามชื่อรัชสมัยของจักรพรรดิที่ส่งกองเรือของเจิ้งเหอออกท่องมหาสมุทร (เจิ้งเหอหางไห่จือซื่อ, 26 กรกฎาคม 2007) และต่อมาใน ค.ศ. 1955 รัฐบาลกั๋วหมินตั่งซึ่งขณะนั้นได้ย้ายไปตั้งมั่นบนเกาะไต้หวันแล้ว ก็ได้กำหนดให้วันที่ 11 กรกฎาคมของทุกปีซึ่งตรงกับวันที่เจิ้งเหอออกเดินเรือครั้งแรก เป็นวันเดินเรือแห่งชาติ (航海日) ของสาธารณรัฐจีน (Yu Sen-lun, 11 January 2004)
3. เจิ้งเหอในสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน
หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจการปกครองและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1949 แนวทางการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของจีนก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดมากซ์-เลนิน (Marxist-Leninist Thought) เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม (文化大革命) ระหว่าง ค.ศ. 1966 ถึง ค.ศ. 1976 ที่มีการ “วิพากษ์สี่เก่า” (破四旧) คือ ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และนิสัยเก่า หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งต่างๆที่จีนได้สั่งสมมาเป็นเวลานับพันปีล้วนแต่ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ที่เป็นตัวแทนของลัทธิสังคมนิยม (วรศักดิ์ มหัทธโนบล, 2547, น. 109-110) ด้วยเหตุนี้บุคคลในประวัติศาสตร์อย่างเจิ้งเหอจึงมิได้อยู่ในสถานะที่ทางการจีนจะนำมาใช้ในการส่งเสริมลัทธิสังคมนิยมได้
อย่างไรก็ดี Michael H. Hunt (1996) ได้เตือนไม่ให้เรามองการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนโดยยึดกรอบแบบมากซ์-เลนินมากจนเกินไป เขาได้ชี้ให้เห็นว่าในทางปฏิบัติแล้วผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายต่างประเทศอยู่ไม่น้อย และพวกเขายังรู้จักนำเอาประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีนมาใช้เพื่อตอบสนองความจำเป็นในปัจจุบันอีกด้วย (Hunt, 1996, pp. 3-10) และเมื่อถึงทศวรรษ 1960 ที่จีนต้องการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศที่เพิ่งได้เอกราชใหม่ในแอฟริกาเพื่อเป็นแนวร่วมในการต่อต้านโลกทุนนิยมและจักรวรรดินิยม จีนก็ได้นำเอาเจิ้งเหอมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง โดยในการเดินทางเยือนโซมาเลียและเคนยาของนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล (周恩来) เมื่อ ค.ศ. 1964 เขาได้กล่าวว่า “เจิ้งเหอในสมัยราชวงศ์หมิงของจีนถือเป็นนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ เขาเคยเดินทางเยือนโซมาเลีย เคนยา และประเทศอื่นๆในแอฟริกาตะวันออกมาแล้ว เขามีคุณูปการต่อการสร้างมิตรภาพระหว่างจีนกับแอฟริกาเป็นอันมาก” (จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005)
ภายหลังจากที่การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงพร้อมกับการอสัญกรรมของเหมาเจ๋อตง (毛泽东) ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ ค.ศ. 1976 ผู้นำคนใหม่คือ เติ้งเสี่ยวผิง (邓小平) ได้ประกาศใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 มีการยกเลิกแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง โดยหันมายอมรับกลไกตลาด รวมทั้งยังเปิดให้จีนมีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับโลกภายนอก ภายใต้สภาพการณ์ใหม่นี้เองที่จีนได้นำเจิ้งเหอมาเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประเทศ ดังจะเห็นได้จากสุนทรพจน์ของเติ้งเสี่ยวผิงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาส่วนกลาง (中央顾问委员会) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1984 ความตอนหนึ่งว่า
นโยบายปิดประตูทำให้ประเทศไม่อาจพัฒนาได้ พวกเราต่างก็เจ็บปวดจากการโดดเดี่ยวตนเอง บรรพชนของเราก็เช่นกัน เราเคยเปิดประตูมาแล้วในสมัยจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ มีการส่งกองเรือของเจิ้งเหอออกท่องทะเลตะวันตก แต่พอพระองค์สิ้นพระชนม์ ราชวงศ์หมิงก็ตกต่ำลง ... บทเรียนที่ผ่านมาบอกเราว่า ถ้าเราไม่เปิดประตูสู่ภายนอก เราก็ไม่อาจจะก้าวไปข้างหน้าได้
(Deng Xiaoping, 1994, pp. 96-97)
หลังจากสุนทรพจน์ครั้งดังกล่าว ชื่อของเจิ้งเหอก็ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งกว่าเดิม โดยใน ค.ศ. 1985 ทางการจีนได้จัดงานฉลองครอบรอบ 580 ปีการเดินเรือของเจิ้งเหอ และเมื่อถึง ค.ศ. 1987 กองทัพเรือจีนได้ตั้งชื่อเรือฝึกเดินสมุทร (training ship) ลำใหม่ว่า “เรือฝึกเจิ้งเหอ” (“郑和”号训练舰) โดยเรือลำดังกล่าวได้เดินทางไปเยือนอ่าวเพิร์ล (Pearl Harbor) มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1989 และถือเป็นครั้งแรกที่เรือของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนแล่นเข้าไปในซีกโลกตะวันตก (หูหญงผิง, 9 พฤษภาคม 2008)
ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 เจียงเจ๋อหมิน (江泽民) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสหภาพโซเวียต โดยมีความตอนหนึ่งระบุว่า เส้นทางสายไหมและการท่องทะเลตะวันตกของเจิ้งเหอนั้นเป็นประจักษ์พยานว่า จีนให้ความสำคัญกับการติดต่อและการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับนานาประเทศ “อย่างเป็นมิตร” (友好) มาแต่โบราณแล้ว (จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005) คำกล่าวของเจียงเจ๋อหมินดูเหมือนจะช่วยปูทางไปสู่การนำเสนอเรื่องราวของเจิ้งเหอในฐานะ “ทูตสันติภาพ” ที่จีนจะได้ดำเนินการอย่างจริงจังหลัง ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา
จะเห็นได้ว่า สถานะของเจิ้งเหอในประวัติศาสตร์จีนนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางการเมืองและสังคมของแต่ละยุคสมัย โดยพอจะสรุปเป็นข้อๆได้ว่า (1) ในช่วงก่อนเกิดสงครามฝิ่นซึ่งระเบียบทางการเมืองและสังคมของจีนยังอยู่ในกรอบของลัทธิขงจื๊อ การเดินเรือของเจิ้งเหอจึงเป็นเพียงกิจกรรมของขันทีที่ฟุ่มเฟือยและไร้ประโยชน์ และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของกองเรือเจิ้งเหอผ่านวรรณกรรมในปลายราชวงศ์หมิง หากแต่ก็ไม่สำเร็จ (2) เมื่อจีนเข้าสู่ช่วงแห่งความวุ่นวายนับจากสงครามฝิ่นมาจนถึงสมัยสาธารณรัฐจีน ชนชั้นนำและปัญญาชนจีนจึงได้หันมาพิจารณาเจิ้งเหอเสียใหม่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของจีนในอดีต และเป็นแบบอย่างในการฟื้นฟูเกียรติภูมิของจีนในเวทีโลก (3) ในช่วงต้นของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ยังคงมีการเผชิญหน้ากับโลกเสรีในสงครามเย็น จีนได้เคยใช้ชื่อของเจิ้งเหอในการกระชับความสัมพันธ์กับบางประเทศในทวีปแอฟริกาเพื่อสร้างแนวร่วมต่อต้านโลกทุนนิยมและจักรวรรดินิยม และ (4) เมื่อจีนหันมาใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจหลัง ค.ศ. 1978 เจิ้งเหอก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประเทศเพื่อมิตรภาพและผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนกับนานาชาติ และเมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2000 จีนจะได้นำเสนอเรื่องราวของเจิ้งเหออย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ผู้วิจัยจะศึกษาและวิเคราะห์อย่างละเอียดต่อไป
[1] อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้วจุดยืนดังกล่าวมีความยืดหยุ่นพอสมควร ดังเช่นเมื่อจีนประสบปัญหาขาดแคลนข้าวในทศวรรษ 1720 ราชสำนักชิงก็ได้ยอมให้มีการนำเข้าข้าวจากสยามได้ ดูรายละเอียดในงานศึกษาของ สารสิน วีระผล (2548, น. 69-120)
[2] สิ่งที่ดูเหมือนเป็น “ตลกร้าย” ก็คือ จักรพรรดิซุ่นจื้อเองเป็นผู้ที่ใช้ขันทีในการปฏิบัติราชการอย่างกว้างขวาง โดยใน ค.ศ. 1653 พระองค์ได้ตั้งหน่วยงานของขันทีรวม 13 กรม (十三衙门) ขึ้นมาทำหน้าที่แทนสำนักพระราชวัง (内务府) จนเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงใน ค.ศ. 1661 หน่วยงานดังกล่าวจึงถูกยุบไป ดูรายละเอียดได้ใน Rawski (1998, pp. 160-194)
[3] แนวคิดของเหลียงฉี่เชานั้นตรงกันข้ามกับแนวคิดของ ดร.ซุนยัดเซ็น ที่ต้องการปฏิวัติล้มสถาบันจักรพรรดิและสถาปนาสาธารณรัฐ โดยแนวคิดของทั้งสองฝ่ายต่างขับเคี่ยวกันอยู่ในทศวรรษ 1900
[4] แนวคิดเรื่องภูมิธรรม (The Enlightenment) เกิดขึ้นในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 สถานะของราชาธิปไตยทรงภูมิธรรมก็คือ กษัตริย์จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสมัยของเหตุผล โดยไม่อ้างอำนาจแบบเทวสิทธิ์ (Divine Right) อีกต่อไป หากแต่จะต้องเป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถเป็นที่ยอมรับในสายตาของประชาชน บุคคลหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ทรงภูมิธรรมก็คือ พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช (Frederick the Great ครองราชย์ ค.ศ. 1740 – ค.ศ. 1786) ผู้ทำให้รัฐเยอรมันอย่างปรัสเซียกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของยุโรป
[5] แม้ว่าความเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 จะมีสาเหตุหลักมาจากข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมต่อจีนในสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ (The Treaty of Versailles) หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หากแต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นสัญลักษณ์ของการเบ่งบานทางความคิดในหมู่ปัญญาชนจีนรุ่นใหม่ ดูรายละเอียดใน แฟร์แบงค์ และคณะ (2550, น. 749-766)
[6] ทะเลใต้ หรือ หนานหยาง (南洋) หมายถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร
เอกสารอ้างอิง
แฟร์แบงค์, จอห์น เค., เอ็ดวิน โอ. ไรเชาเออร์ และ แอลเบิร์ต เอ็ม. เครก. (2550). เอเชียตะวันออกยุคใหม่: จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน (เพ็ชรี สุมิตร, ศรีสุข ทวิชาประสิทธิ์, กุสุมา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, ชัยโชค จุลศิริวงศ์ และ วิสาขา เลห์แมน, ผู้แปล; เพ็ชรี สุมิตร บรรณาธิการ; วรศักดิ์ มหัทธโนบล และ สมถวิล ลือชาพัฒนพร, บรรณาธิการต้นฉบับ, พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
ไรสเชอร์, เอ็ดวิน โอ. และ ยอห์น เค. แฟรแบงค์. (2510). อู่อารยธรรมตะวันออก เล่ม 3 (จำนงค์ทองประเสริฐ นิทัศน์ ชูทรัพย์ วินิตา ไกรฤกษ์ และเขียน ธีระวิทย์, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย.
วรศักดิ์ มหัทธโนบล. (2547). เศรษฐกิจการเมืองจีน. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สารสิน วีระผล. (2548). จิ้มก้องและกำไร: การค้าไทย-จีน 2195-2396/1652-1853 (พรรณงาม เง่าธรรมสาร, รังษี ฮั่นโสภา และ สมาพร แลคโซ, ผู้แปล; ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ กัณฐิกา ศรีอุดม, บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
Deng Xiaoping. (1994). Selected Works of Deng Xiaoping, Volume III (1982-1992). Beijing: Foreign Languages Press.
Dreyer, Edward L. (2007). Zheng He: China and the Oceans in the Early Ming Dynasty, 1405-1433. New York: Pearson Education, Inc.
Finlay, Robert. (1992). Portuguese and Chinese Maritime Imperialism: Camoes’s Lusiads and Luo Maodeng’s Voyage of the San Bao Eunuch. Comparative Studies in Society and History, 34(2), 225-241.
Hunt, Michael H. (1996). The Genesis of Chinese Communist Foreign Policy. New York: Columbia University Press.
Levathes, Louise. (1994). When China Ruled the Seas: the Treasure Fleet of the Dragon Throne 1405-1433. New York: Simon&Schuster.
Yu Sen-lun. (11 January 2004). Following in the wake of Zheng He. Taipei Times, p. 17. Retrieved March 21, 2009, from http://www.taipeitimes.com/News/feat/ archives/2004/01/11/2003087264.
จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ (บุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคใกล้พูดถึงเจิ้งเหอ). (1 มิถุนายน 2005). สืบค้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2009, จาก http://www.china.com.cn/chinese/ zhuanti/zhxxy/878345.htm.
近代名人论郑和。(2005/06/01)。2009 年4月18日,http://www.china.com.cn/ chinese/zhuanti/zhxxy/878345.htm。
เจิ้งเหอหางไห่จือซื่อ (ความรู้ด้านการเดินเรือของเจิ้งเหอ). (26 กรกฎาคม 2007). สืบค้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2009, จาก http://ytmsa.gov.cn/n435777/n436492/10450.html.
郑和航海知识。(2007/07/26)。2009 年4月18日,http://ytmsa.gov.cn/ n435777/n436492/10450.html。
สือผิง. (30 พฤษภาคม 2005). กวานอวี๋เหลียงฉี่เชา《จู่กั๋วต้าหางไห่เจียเจิ้งเหอจ้วน》เตอะไจ้เยิ่นซื่อ (การทำความรู้จักอีกครั้งกับหนังสือของเหลี่ยงฉี่เชาเรื่อง เจิ้งเหอ: นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่แห่งมาตุภูมิ). สืบค้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2009, จาก http://www.china.com.cn/ chinese/zhuanti/zhxxy/876109.htm.
时平。(2005/05/30)。关于梁启超《祖国大航海家郑和传》的再认识。2009年1月31日,http://www.china.com.cn/chinese/zhuanti/zhxxy/876109.htm。
หูหญงผิง. (9 พฤษภาคม 2008). อีจิ่วปาจิ่วเหนียน ตี้อีโซวหย่วนหยางหางไห่ซวิ่นเลี่ยนเจี้ยน “เจิ้งเหอ” เห้าฝางเหม่ย (ค.ศ. 1989 เรือฝึกเดินสมุทรลำแรกของจีนชื่อ “เจิ้งเหอ” ไปเยือนสหรัฐอเมริกา. สืบค้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2008, จาก http://news.rednet. cn/c/2008/05/09/1503185.htm.
胡蓉平。(2008/05/09)。1989年 第一艘远洋航海训练舰“郑和”号访美。2008年11月9日,http://news.rednet.cn/c/2008/05/09/1503185.htm。
นโยบายกองเรือมหาสมบัติของจักรพรรดิหย่งเล่อและจักรพรรดิเซวียนเต๋อได้ก่อให้เกิดแรงต่อต้านจากบรรดาขุนนางและปัญญาชนซึ่งมองว่านโยบายดังกล่าวเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยและขัดกับหน้าที่ของรัฐตามแบบขงจื๊อ จนนำไปสู่การยกเลิกนโยบายดังกล่าวหลัง ค.ศ. 1435 และต่อมาก็มีการเผาทำลายเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการเดินเรือในครั้งนั้น ด้วยเหตุนี้เรื่องราวของเจิ้งเหอจึงเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเมื่อราชวงศ์หมิงเข้าสู่ช่วงแห่งความตกต่ำในศตวรรษถัดมา จึงได้มีความพยายามในการรื้อฟื้นเรื่องราวของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
ราชวงศ์หมิงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ประสบกับปัญหาความวุ่นวายจากทั้งภายนอกและภายใน โดยภายนอกนั้นจีนต้องเผชิญกับโจรสลัดญี่ปุ่น (倭寇) รวมทั้งข้อเรียกร้องทางการค้าของโปรตุเกส จนจีนต้องยกเอ้าเหมิน (澳门) หรือมาเก๊าให้ไปเมื่อ ค.ศ. 1557 ขณะเดียวกันก็มีการทำสงครามกับมองโกลระหว่าง ค.ศ. 1540 ถึง ค.ศ. 1573 และเหตุการณ์ที่บั่นทอนอำนาจของราชวงศ์หมิงลงเป็นอย่างมากก็คือ สงครามกับญี่ปุ่นบนคาบสมุทรเกาหลีใน ค.ศ. 1593 และ ค.ศ. 1597 ซึ่งราชสำนักต้องเสียค่าใช้จ่ายไปในสงครามครั้งละ 10,000,000 ตำลึง และทำให้ราชวงศ์หมิงอยู่ในสภาวะเกือบล้มละลาย (ไรสเชอร์ และแฟรแบงค์, 2510, น. 669-670) และเมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ราชวงศ์หมิงก็ต้องเผชิญกับการรุกรานของชาวแมนจูจนนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์ในที่สุด
ส่วนภายในราชสำนักหมิงเอง จักรพรรดิเจียจิ้ง (嘉靖 ครองราชย์ ค.ศ. 1521 – ค.ศ. 1566) ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการแสวงหายาอายุวัฒนะและมิได้ออกว่าราชการเป็นเวลาหลายปี ส่วนจักรพรรดิว่านลี่ (万历ครองราชย์ ค.ศ. 1572 – ค.ศ. 1620) ถึงแม้ว่าจะเป็นรัชสมัยที่รุ่งเรืองในทางวรรณคดี หากแต่พระองค์ก็ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยทรงใช้เงินกว่า 90,000 ตำลึงเพื่อการอภิเษกสมรสของพระองค์ และ 12,000,000 ตำลึงเพื่อจ่ายให้กับเชื้อพระวงศ์ และอีกกว่า 9,000,000 ตำลึงเพื่อสร้างพระราชวังใหม่ (ไรสเชอร์ และแฟรแบงค์, 2510, น. 685) รวมทั้งยังทรงละเลยการบริหารราชการและปล่อยให้อำนาจอยู่ในมือของขันที เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง อำนาจทางการเมืองจึงตกอยู่กับขันทีเว่ยจงเสียน (魏忠贤) ผู้ซึ่งกุมอำนาจต่อมาจนถึง ค.ศ. 1627
ในปลายราชวงศ์หมิงนี้เองที่ได้เกิดวรรณกรรมเกี่ยวกับเจิ้งเหอขึ้นมาสองเรื่อง เรื่องแรกคือนวนิยายที่ชื่อ การเดินทางท่องทะเลตะวันตกของขันทีซานเป่า (三宝太监下西洋记通俗演义) หรือที่เรียกสั้นๆว่า บันทึกการท่องทะเลตะวันตก (ซีหยางจี้) แต่งโดย หลัวเม่าเติง (罗懋登) เมื่อ ค.ศ. 1597 โดยในเรื่องระบุว่า การเดินเรือของเจิ้งเหอมีจุดประสงค์เพื่อตามหาตราแผ่นดินที่สูญหายไป ซึ่ง Finlay (1992) ได้วิเคราะห์ว่า การตามหาตราแผ่นดินกลับคืนมาสะท้อนให้เห็นว่าผู้แต่งนั้นไม่พอใจกับสภาพที่เสื่อมโทรมของราชวงศ์หมิง และต้องการให้จีนกลับมายิ่งใหญ่และเป็น “อาณาจักรกลาง” อย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง เฉกเช่นในสมัยของเจิ้งเหอ (Finlay, 1992, pp. 235-236)
วรรณกรรมเรื่องที่สองคือบทละครเรื่อง ขันทีซานเป่ารับพระราชโองการท่องทะเลตะวันตก (奉天命三宝下西洋) แต่งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1615 โดยไม่ปรากฏนามผู้แต่ง หากแต่ก็เป็นบทละครที่ใช้เล่นกันในราชสำนักของจีน โดยตอนหนึ่งของเรื่องได้เล่าว่า กองเรือของเจิ้งเหอแล่นเข้าไปในน่านน้ำที่เป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน บรรดากษัตริย์ทั้งหลายในดินแดนแถบนั้นก็พากันยกพลมาล้อมเรือของเจิ้งเหอเอาไว้ พร้อมกับเรียกร้องขอผ้าไหมและเครื่องกระเบื้องเคลือบจากจีนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่เจิ้งเหอจะสามารถเดินเรือผ่านได้อย่างปลอดภัย เจิ้งเหอจึงคิดกลอุบายด้วยการหลอกกษัตริย์เหล่านี้ว่า แท้จริงแล้วเครื่องกระเบื้องเคลือบของจีนนั้นงอกออกมาจากต้นไม้ และบนเรือของเขาก็มีต้นกระเบื้องเคลือบ (porcelain tree) ให้ชมด้วย เหล่ากษัตริย์ต่างพากันหลงเชื่อและเดินขึ้นไปบนเรือของเจิ้งเหอ ทำให้เจิ้งเหอสามารถจับกุมกษัตริย์เหล่านี้ได้โดยง่าย Levathes (1994) ได้ชี้ให้เห็นว่า ละครฉากดังกล่าวสะท้อนความเฉลียวฉลาดของเจิ้งเหอ รวมทั้งความปรารถนาของผู้แต่งที่ต้องการให้จีนกลับมามีแสนยานุภาพทางทะเลเฉกเช่นเมื่อครั้งต้นราชวงศ์หมิง (Levathes, 1994, pp. 188-189)
หลังจากที่ราชวงศ์หมิงล่มสลายลง จักรพรรดิในยุคต่อมาคือราชวงศ์ชิง (清朝ค.ศ. 1644 – ค.ศ. 1912) ยังคงแสดงจุดยืนอย่างเป็นทางการว่าไม่สนับสนุนการค้าทางทะเล โดยเมื่อ ค.ศ. 1662 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในจักรพรรดิคังซี (康熙ครองราชย์ ค.ศ. 1661 – ค.ศ. 1722) ได้มีคำสั่งห้ามมิให้เมืองท่าต่างๆของจีนค้าขายกับต่างประเทศ ยกเว้นการติดต่อตามระบบบรรณาการเท่านั้น[1] นอกจากนี้ราชวงศ์ชิงยังได้บทเรียนจากราชวงศ์หมิงว่า การปล่อยให้ขันทีเข้ามามีบทบาททางราชการนั้นส่งผลเสียหายร้ายแรงเพียงใด ตัวเอ่อร์กุน (多尔衮) เจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงต้นรัชสมัยซุ่นจื้อ (顺治ครองราชย์ ค.ศ. 1643 – ค.ศ. 1661) ถึงกับเคยมีความคิดว่าควรยกเลิกระบบขันที ต่อมาใน ค.ศ. 1655 จักรพรรดิซุ่นจื้อก็ได้มีรับสั่งห้ามมิให้ขันทีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างเด็ดขาด โดยทำเป็นแผ่นป้ายจารึกตั้งไว้ที่ประตูหน้าพระตำหนักเจียวไท่ (交泰殿) ในพระราชวังต้องห้าม (หลี่กั๋วหญง, 2004, น. 185)[2] ส่วนจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆ครองราชย์ ค.ศ. 1735 - ค.ศ. 1795) ก็เคยรับสั่งว่าการรู้หนังสือทำให้ขันทีละโมบและทะเยอทะยานได้ง่ายขึ้น ขันทีจึงควรเรียนหนังสือแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (Rawski, 1998, p. 192) หนังสือ ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง (明史) ที่นักประวัติศาสตร์ราชสำนักชิงเรียบเรียงเสร็จใน ค.ศ. 1739 จึงมิได้ให้ความสำคัญกับการเดินเรือของขันทีอย่างเจิ้งเหอมากนัก โดยกล่าวถึงเจิ้งเหออยู่เพียงประมาณ 700 ตัวอักษรจีน และได้อธิบายว่านโยบายกองเรือมหาสมบัติเป็นการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย และสิ่งของมีค่าที่จีนได้รับมาก็ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไป อย่างไรก็ตามหนังสือดังกล่าวยังคงยอมรับว่า ในมุมมองที่ไม่ใช่ของทางราชการแล้ว การเดินเรือของเจิ้งเหอถือเป็นความสำเร็จของจีนในต้นราชวงศ์หมิง (ดูคำแปลของหนังสือดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับเจิ้งเหอได้ในภาคผนวก 1 ของ Dreyer, 2007, pp. 187-191)
2. เจิ้งเหอหลังสงครามฝิ่นจนถึงสมัยสาธารณรัฐจีน
เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 19 ราชวงศ์ชิงก็ประสบกับปัญหาความวุ่นวายจากทั้งภายในและภายนอก การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรได้นำไปสู่ความอดอยากและการกบฏ ขณะเดียวกันข้อพิพาททางการค้ากับอังกฤษก็ได้นำไปสู่การเกิดสงครามฝิ่น (鸦片战争) เมื่อ ค.ศ. 1840 และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจีนและการลงนามสนธิสัญญานานกิง (南京条约) เมื่อ ค.ศ. 1842 หลังจากนั้นเป็นต้นมาจนถึงการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1949 จีนต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยม การกบฏ การปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิงใน ค.ศ. 1911 และสงครามกลางเมืองระหว่างขุนศึกในช่วงต้นของสาธารณรัฐจีน ในยุคที่มืดมนและตกต่ำของจีนนี้เองที่ชื่อของเจิ้งเหอได้ปรากฏขึ้นต่อสาธารณชนอีกครั้งหนึ่ง
ใน ค.ศ. 1904 เหลียงฉี่เชา (梁启超) ปัญญาชนนักปฏิรูปผู้เชื่อมั่นในระบอบรัฐธรรมนูญที่มีจักรพรรดิทรงเป็นประมุข[3] ได้เขียนบทความเรื่อง เจิ้งเหอ: นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่แห่งมาตุภูมิ (祖国大航海家郑和传) ลงในหนังสือพิมพ์ ซินหมินฉงเป้า (新民丛报) โดยเขาได้เปรียบเทียบว่าการเดินเรือของเจิ้งเหอเกิดขึ้นก่อนการเดินเรือของโคลัมบัสกว่า 60 ปี และก่อนวาสโก ดา กามาถึง 70 กว่าปี การเดินเรือของเจิ้งเหอจึงถือเป็น “เกียรติภูมิในประวัติศาสตร์ของประเทศ” (国史之光) (จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005) นักวิชาการจีนอย่างสือผิง (时平) ได้วิเคราะห์ว่า บทความดังกล่าวสะท้อนความคิดทางการเมืองของเหลียงฉี่เชาอยู่สามประการคือ (1) การกระตุ้นจิตสำนึกชาตินิยมเพื่อให้ประเทศจีนสามารถยืนอยู่ได้อย่างสง่างามบนเวทีโลก โดยมีเจิ้งเหอเป็นตัวแบบ (2) สถาบันจักรพรรดิยังมีคุณประโยชน์ต่อประเทศจีน ดังเช่นจักรพรรดิที่ปรีชาสามารถอย่างหย่งเล่อผู้เคยส่งกองเรือของเจิ้งเหอออกไปสร้างความยิ่งใหญ่มาแล้ว ดังนั้นแนวทางที่เหมาะสมในการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของจีนก็คือ การมีการปกครองแบบราชาธิปไตยทรงภูมิธรรม (开明专制)[4] และ (3) สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จีนอ่อนแอและไม่อาจต้านทานการรุกรานของจักรวรรดินิยมได้ก็คือ การขาดแสนยานุภาพทางทะเล ดังนั้นจีนจึงควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างอำนาจทางทะเลเหมือนเมื่อครั้งเจิ้งเหอในต้นราชวงศ์หมิง (สือผิง, 30 พฤษภาคม 2005) กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า เหลียงฉี่เชานำเอาเจิ้งเหอมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นฟูเกียรติภูมิและความยิ่งใหญ่ของจีน
ต่อมาใน ค.ศ. 1919 ซึ่งเป็นปีแห่งการปฏิวัติเชิงปัญญาความคิดของจีน หรือที่รู้จักกันว่า “ความเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม” (五四运动)[5] ดร.ซุนยัดเซ็น หรือซุนจงซาน (孙中山) นักปฏิวัติและผู้นำพรรคกั๋วหมินตั่ง (国民党) ได้เขียนบทความเรื่อง แผนการสร้างประเทศ (建国方略) โดยมีความตอนหนึ่งกล่าวถึงเจิ้งเหอว่า
เจิ้งเหอใช้เวลาเพียง 14 เดือนก็สามารถสร้างเรือใหญ่ 64 ลำได้สำเร็จ บรรทุกผู้คนกว่า 28,000 คนไปท่องทะเลใต้[6] สำแดงอำนาจของจีนให้เป็นที่ประจักษ์แก่นานาประเทศ ถือได้ว่าเป็นผลงานที่หาได้ยากทั้งในอดีตและอนาคต ทุกวันนี้ผู้คนในทะเลใต้ยังคงหวนระลึกถึงความน่าเกรงขามที่ซานเป่าได้ทิ้งไว้เมื่อครั้งกระโน้น ถือได้ว่าเป็นความยิ่งใหญ่ ปัจจุบันนี้ถ้าให้คนจีนเอาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเครื่องจักรกลจากต่างประเทศมาสร้างเรือหนึ่งลำที่มีขนาด 3,000 ตัน ยังถือว่าเป็นเรื่องยากเลย ลองคิดดูสิว่าความสำเร็จของเจิ้งเหอนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด?
(จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005)
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตามข้อตกลงที่ประเทศสัมพันธมิตรทำกันไว้ในการประชุมไคโร (The Cairo Conference) เมื่อ ค.ศ. 1943 และการประชุมปอตสดัม (The Potsdam Conference) เมื่อ ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นในฐานะผู้แพ้สงครามต้องส่งมอบดินแดนที่ยึดมาจากประเทศอื่นๆตั้งแต่ ค.ศ. 1895 คืนให้แก่เจ้าของเดิมทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ที่ญี่ปุ่นยึดไปจากจีนเมื่อทศวรรษ 1930 ดังนั้นเมื่อสาธารณรัฐจีนได้กลับมามีอำนาจเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้อีกครั้ง จึงได้นำเอาเจิ้งเหอมาเป็นสัญลักษณ์ของการได้อำนาจอธิปไตยคืนมา โดยใน ค.ศ. 1947 รัฐบาลสาธารณรัฐจีนได้ประกาศตั้งชื่อแนวปะการังแนวหนึ่งในหมู่เกาะหนานซา (南沙群岛) หรือสแปรตลีย์ (The Spratly Islands) ว่า “แนวปะการังเจิ้งเหอ” (郑和群礁) และตั้งชื่อหมู่เกาะซีกตะวันตกและตะวันออกของหมู่เกาะซีซา (西沙群岛) หรือพาราเซล (The Paracel Islands) ว่า “หมู่เกาะหย่งเล่อ” (永乐群岛) และ “หมู่เกาะเซวียนเต๋อ” (宣德群岛) ตามชื่อรัชสมัยของจักรพรรดิที่ส่งกองเรือของเจิ้งเหอออกท่องมหาสมุทร (เจิ้งเหอหางไห่จือซื่อ, 26 กรกฎาคม 2007) และต่อมาใน ค.ศ. 1955 รัฐบาลกั๋วหมินตั่งซึ่งขณะนั้นได้ย้ายไปตั้งมั่นบนเกาะไต้หวันแล้ว ก็ได้กำหนดให้วันที่ 11 กรกฎาคมของทุกปีซึ่งตรงกับวันที่เจิ้งเหอออกเดินเรือครั้งแรก เป็นวันเดินเรือแห่งชาติ (航海日) ของสาธารณรัฐจีน (Yu Sen-lun, 11 January 2004)
3. เจิ้งเหอในสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน
หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจการปกครองและสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1949 แนวทางการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของจีนก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดมากซ์-เลนิน (Marxist-Leninist Thought) เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม (文化大革命) ระหว่าง ค.ศ. 1966 ถึง ค.ศ. 1976 ที่มีการ “วิพากษ์สี่เก่า” (破四旧) คือ ความคิดเก่า วัฒนธรรมเก่า ประเพณีเก่า และนิสัยเก่า หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งต่างๆที่จีนได้สั่งสมมาเป็นเวลานับพันปีล้วนแต่ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และแทนที่ด้วยสิ่งใหม่ที่เป็นตัวแทนของลัทธิสังคมนิยม (วรศักดิ์ มหัทธโนบล, 2547, น. 109-110) ด้วยเหตุนี้บุคคลในประวัติศาสตร์อย่างเจิ้งเหอจึงมิได้อยู่ในสถานะที่ทางการจีนจะนำมาใช้ในการส่งเสริมลัทธิสังคมนิยมได้
อย่างไรก็ดี Michael H. Hunt (1996) ได้เตือนไม่ให้เรามองการดำเนินนโยบายต่างประเทศของจีนโดยยึดกรอบแบบมากซ์-เลนินมากจนเกินไป เขาได้ชี้ให้เห็นว่าในทางปฏิบัติแล้วผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายต่างประเทศอยู่ไม่น้อย และพวกเขายังรู้จักนำเอาประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีนมาใช้เพื่อตอบสนองความจำเป็นในปัจจุบันอีกด้วย (Hunt, 1996, pp. 3-10) และเมื่อถึงทศวรรษ 1960 ที่จีนต้องการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศที่เพิ่งได้เอกราชใหม่ในแอฟริกาเพื่อเป็นแนวร่วมในการต่อต้านโลกทุนนิยมและจักรวรรดินิยม จีนก็ได้นำเอาเจิ้งเหอมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง โดยในการเดินทางเยือนโซมาเลียและเคนยาของนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล (周恩来) เมื่อ ค.ศ. 1964 เขาได้กล่าวว่า “เจิ้งเหอในสมัยราชวงศ์หมิงของจีนถือเป็นนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ เขาเคยเดินทางเยือนโซมาเลีย เคนยา และประเทศอื่นๆในแอฟริกาตะวันออกมาแล้ว เขามีคุณูปการต่อการสร้างมิตรภาพระหว่างจีนกับแอฟริกาเป็นอันมาก” (จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005)
ภายหลังจากที่การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงพร้อมกับการอสัญกรรมของเหมาเจ๋อตง (毛泽东) ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ ค.ศ. 1976 ผู้นำคนใหม่คือ เติ้งเสี่ยวผิง (邓小平) ได้ประกาศใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 มีการยกเลิกแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง โดยหันมายอมรับกลไกตลาด รวมทั้งยังเปิดให้จีนมีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับโลกภายนอก ภายใต้สภาพการณ์ใหม่นี้เองที่จีนได้นำเจิ้งเหอมาเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประเทศ ดังจะเห็นได้จากสุนทรพจน์ของเติ้งเสี่ยวผิงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาส่วนกลาง (中央顾问委员会) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1984 ความตอนหนึ่งว่า
นโยบายปิดประตูทำให้ประเทศไม่อาจพัฒนาได้ พวกเราต่างก็เจ็บปวดจากการโดดเดี่ยวตนเอง บรรพชนของเราก็เช่นกัน เราเคยเปิดประตูมาแล้วในสมัยจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ มีการส่งกองเรือของเจิ้งเหอออกท่องทะเลตะวันตก แต่พอพระองค์สิ้นพระชนม์ ราชวงศ์หมิงก็ตกต่ำลง ... บทเรียนที่ผ่านมาบอกเราว่า ถ้าเราไม่เปิดประตูสู่ภายนอก เราก็ไม่อาจจะก้าวไปข้างหน้าได้
(Deng Xiaoping, 1994, pp. 96-97)
หลังจากสุนทรพจน์ครั้งดังกล่าว ชื่อของเจิ้งเหอก็ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งกว่าเดิม โดยใน ค.ศ. 1985 ทางการจีนได้จัดงานฉลองครอบรอบ 580 ปีการเดินเรือของเจิ้งเหอ และเมื่อถึง ค.ศ. 1987 กองทัพเรือจีนได้ตั้งชื่อเรือฝึกเดินสมุทร (training ship) ลำใหม่ว่า “เรือฝึกเจิ้งเหอ” (“郑和”号训练舰) โดยเรือลำดังกล่าวได้เดินทางไปเยือนอ่าวเพิร์ล (Pearl Harbor) มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1989 และถือเป็นครั้งแรกที่เรือของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนแล่นเข้าไปในซีกโลกตะวันตก (หูหญงผิง, 9 พฤษภาคม 2008)
ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1991 เจียงเจ๋อหมิน (江泽民) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสหภาพโซเวียต โดยมีความตอนหนึ่งระบุว่า เส้นทางสายไหมและการท่องทะเลตะวันตกของเจิ้งเหอนั้นเป็นประจักษ์พยานว่า จีนให้ความสำคัญกับการติดต่อและการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับนานาประเทศ “อย่างเป็นมิตร” (友好) มาแต่โบราณแล้ว (จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ, 1 มิถุนายน 2005) คำกล่าวของเจียงเจ๋อหมินดูเหมือนจะช่วยปูทางไปสู่การนำเสนอเรื่องราวของเจิ้งเหอในฐานะ “ทูตสันติภาพ” ที่จีนจะได้ดำเนินการอย่างจริงจังหลัง ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา
จะเห็นได้ว่า สถานะของเจิ้งเหอในประวัติศาสตร์จีนนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางการเมืองและสังคมของแต่ละยุคสมัย โดยพอจะสรุปเป็นข้อๆได้ว่า (1) ในช่วงก่อนเกิดสงครามฝิ่นซึ่งระเบียบทางการเมืองและสังคมของจีนยังอยู่ในกรอบของลัทธิขงจื๊อ การเดินเรือของเจิ้งเหอจึงเป็นเพียงกิจกรรมของขันทีที่ฟุ่มเฟือยและไร้ประโยชน์ และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของกองเรือเจิ้งเหอผ่านวรรณกรรมในปลายราชวงศ์หมิง หากแต่ก็ไม่สำเร็จ (2) เมื่อจีนเข้าสู่ช่วงแห่งความวุ่นวายนับจากสงครามฝิ่นมาจนถึงสมัยสาธารณรัฐจีน ชนชั้นนำและปัญญาชนจีนจึงได้หันมาพิจารณาเจิ้งเหอเสียใหม่ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของจีนในอดีต และเป็นแบบอย่างในการฟื้นฟูเกียรติภูมิของจีนในเวทีโลก (3) ในช่วงต้นของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ยังคงมีการเผชิญหน้ากับโลกเสรีในสงครามเย็น จีนได้เคยใช้ชื่อของเจิ้งเหอในการกระชับความสัมพันธ์กับบางประเทศในทวีปแอฟริกาเพื่อสร้างแนวร่วมต่อต้านโลกทุนนิยมและจักรวรรดินิยม และ (4) เมื่อจีนหันมาใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจหลัง ค.ศ. 1978 เจิ้งเหอก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประเทศเพื่อมิตรภาพและผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนกับนานาชาติ และเมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2000 จีนจะได้นำเสนอเรื่องราวของเจิ้งเหออย่างเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ผู้วิจัยจะศึกษาและวิเคราะห์อย่างละเอียดต่อไป
[1] อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้วจุดยืนดังกล่าวมีความยืดหยุ่นพอสมควร ดังเช่นเมื่อจีนประสบปัญหาขาดแคลนข้าวในทศวรรษ 1720 ราชสำนักชิงก็ได้ยอมให้มีการนำเข้าข้าวจากสยามได้ ดูรายละเอียดในงานศึกษาของ สารสิน วีระผล (2548, น. 69-120)
[2] สิ่งที่ดูเหมือนเป็น “ตลกร้าย” ก็คือ จักรพรรดิซุ่นจื้อเองเป็นผู้ที่ใช้ขันทีในการปฏิบัติราชการอย่างกว้างขวาง โดยใน ค.ศ. 1653 พระองค์ได้ตั้งหน่วยงานของขันทีรวม 13 กรม (十三衙门) ขึ้นมาทำหน้าที่แทนสำนักพระราชวัง (内务府) จนเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงใน ค.ศ. 1661 หน่วยงานดังกล่าวจึงถูกยุบไป ดูรายละเอียดได้ใน Rawski (1998, pp. 160-194)
[3] แนวคิดของเหลียงฉี่เชานั้นตรงกันข้ามกับแนวคิดของ ดร.ซุนยัดเซ็น ที่ต้องการปฏิวัติล้มสถาบันจักรพรรดิและสถาปนาสาธารณรัฐ โดยแนวคิดของทั้งสองฝ่ายต่างขับเคี่ยวกันอยู่ในทศวรรษ 1900
[4] แนวคิดเรื่องภูมิธรรม (The Enlightenment) เกิดขึ้นในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 สถานะของราชาธิปไตยทรงภูมิธรรมก็คือ กษัตริย์จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสมัยของเหตุผล โดยไม่อ้างอำนาจแบบเทวสิทธิ์ (Divine Right) อีกต่อไป หากแต่จะต้องเป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถเป็นที่ยอมรับในสายตาของประชาชน บุคคลหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ทรงภูมิธรรมก็คือ พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช (Frederick the Great ครองราชย์ ค.ศ. 1740 – ค.ศ. 1786) ผู้ทำให้รัฐเยอรมันอย่างปรัสเซียกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของยุโรป
[5] แม้ว่าความเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 จะมีสาเหตุหลักมาจากข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมต่อจีนในสนธิสัญญาสันติภาพแวร์ซายส์ (The Treaty of Versailles) หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หากแต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นสัญลักษณ์ของการเบ่งบานทางความคิดในหมู่ปัญญาชนจีนรุ่นใหม่ ดูรายละเอียดใน แฟร์แบงค์ และคณะ (2550, น. 749-766)
[6] ทะเลใต้ หรือ หนานหยาง (南洋) หมายถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทร
เอกสารอ้างอิง
แฟร์แบงค์, จอห์น เค., เอ็ดวิน โอ. ไรเชาเออร์ และ แอลเบิร์ต เอ็ม. เครก. (2550). เอเชียตะวันออกยุคใหม่: จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน (เพ็ชรี สุมิตร, ศรีสุข ทวิชาประสิทธิ์, กุสุมา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, ชัยโชค จุลศิริวงศ์ และ วิสาขา เลห์แมน, ผู้แปล; เพ็ชรี สุมิตร บรรณาธิการ; วรศักดิ์ มหัทธโนบล และ สมถวิล ลือชาพัฒนพร, บรรณาธิการต้นฉบับ, พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
ไรสเชอร์, เอ็ดวิน โอ. และ ยอห์น เค. แฟรแบงค์. (2510). อู่อารยธรรมตะวันออก เล่ม 3 (จำนงค์ทองประเสริฐ นิทัศน์ ชูทรัพย์ วินิตา ไกรฤกษ์ และเขียน ธีระวิทย์, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย.
วรศักดิ์ มหัทธโนบล. (2547). เศรษฐกิจการเมืองจีน. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สารสิน วีระผล. (2548). จิ้มก้องและกำไร: การค้าไทย-จีน 2195-2396/1652-1853 (พรรณงาม เง่าธรรมสาร, รังษี ฮั่นโสภา และ สมาพร แลคโซ, ผู้แปล; ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ กัณฐิกา ศรีอุดม, บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
Deng Xiaoping. (1994). Selected Works of Deng Xiaoping, Volume III (1982-1992). Beijing: Foreign Languages Press.
Dreyer, Edward L. (2007). Zheng He: China and the Oceans in the Early Ming Dynasty, 1405-1433. New York: Pearson Education, Inc.
Finlay, Robert. (1992). Portuguese and Chinese Maritime Imperialism: Camoes’s Lusiads and Luo Maodeng’s Voyage of the San Bao Eunuch. Comparative Studies in Society and History, 34(2), 225-241.
Hunt, Michael H. (1996). The Genesis of Chinese Communist Foreign Policy. New York: Columbia University Press.
Levathes, Louise. (1994). When China Ruled the Seas: the Treasure Fleet of the Dragon Throne 1405-1433. New York: Simon&Schuster.
Yu Sen-lun. (11 January 2004). Following in the wake of Zheng He. Taipei Times, p. 17. Retrieved March 21, 2009, from http://www.taipeitimes.com/News/feat/ archives/2004/01/11/2003087264.
จิ้นไต้หมิงเหญินลุ่นเจิ้งเหอ (บุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคใกล้พูดถึงเจิ้งเหอ). (1 มิถุนายน 2005). สืบค้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2009, จาก http://www.china.com.cn/chinese/ zhuanti/zhxxy/878345.htm.
近代名人论郑和。(2005/06/01)。2009 年4月18日,http://www.china.com.cn/ chinese/zhuanti/zhxxy/878345.htm。
เจิ้งเหอหางไห่จือซื่อ (ความรู้ด้านการเดินเรือของเจิ้งเหอ). (26 กรกฎาคม 2007). สืบค้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2009, จาก http://ytmsa.gov.cn/n435777/n436492/10450.html.
郑和航海知识。(2007/07/26)。2009 年4月18日,http://ytmsa.gov.cn/ n435777/n436492/10450.html。
สือผิง. (30 พฤษภาคม 2005). กวานอวี๋เหลียงฉี่เชา《จู่กั๋วต้าหางไห่เจียเจิ้งเหอจ้วน》เตอะไจ้เยิ่นซื่อ (การทำความรู้จักอีกครั้งกับหนังสือของเหลี่ยงฉี่เชาเรื่อง เจิ้งเหอ: นักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่แห่งมาตุภูมิ). สืบค้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2009, จาก http://www.china.com.cn/ chinese/zhuanti/zhxxy/876109.htm.
时平。(2005/05/30)。关于梁启超《祖国大航海家郑和传》的再认识。2009年1月31日,http://www.china.com.cn/chinese/zhuanti/zhxxy/876109.htm。
หูหญงผิง. (9 พฤษภาคม 2008). อีจิ่วปาจิ่วเหนียน ตี้อีโซวหย่วนหยางหางไห่ซวิ่นเลี่ยนเจี้ยน “เจิ้งเหอ” เห้าฝางเหม่ย (ค.ศ. 1989 เรือฝึกเดินสมุทรลำแรกของจีนชื่อ “เจิ้งเหอ” ไปเยือนสหรัฐอเมริกา. สืบค้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2008, จาก http://news.rednet. cn/c/2008/05/09/1503185.htm.
胡蓉平。(2008/05/09)。1989年 第一艘远洋航海训练舰“郑和”号访美。2008年11月9日,http://news.rednet.cn/c/2008/05/09/1503185.htm。
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น