ความขัดแย้งระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียยังมีความเกี่ยวข้องกับการที่ทั้ง 2
ฝ่ายพยายามแสวงหาอิทธิพลในเอเชียและแอฟริกาอีกด้วย กล่าวคือ หลังอสัญกรรมของสตาลินใน
ค.ศ. 1953 จีนได้เริ่มดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระมากขึ้น
จากเดิมที่เน้นการอิงเข้าหาสหภาพโซเวียตมาเป็นการแสวงหามิตรไมตรีกับประเทศนอกค่ายสังคมนิยม
ดังที่เหมาเจ๋อตงบอกกับผู้แทนของพรรคแรงงานอังกฤษที่มาเยือนจีนเมื่อเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 1954 ว่า โลกนี้นอกจากจะมี 2 ขั้วที่นำโดยสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตแล้ว
ยังมี “พื้นที่ตรงกลาง (intermediate zone)” ที่ประกอบไปด้วยประเทศต่างๆ
ที่มีความหลากหลายทางอุดมการณ์ ซึ่งจีนต้องการอยู่ร่วมกับประเทศเหล่านี้อย่างสันติ[1] นำไปสู่การที่จีนประกาศใช้หลักปัญจศีล
(The Five Principles of Peaceful Coexistence) กับอินเดียและพม่าในปีเดียวกัน
และใน ค.ศ. 1955 จีนได้เข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศเอเชียและแอฟริกา
ณ เมืองบันดุง (Bandung) ประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย
โจวเอินไหลกับเนห์รู ในการประชุมบันดุง ค.ศ. 1955
ภาพจาก http://content.time.com/time/magazine/article/0,9171,2123279,00.html
ขณะเดียวกัน
ยูโกสลาเวียก็สนใจประเทศในเอเชียและแอฟริกาเช่นเดียวกับจีน กล่าวคือ
เดิมยูโกสลาเวียมองว่าประเทศที่ได้เอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่ยังคงดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของอดีตเจ้าอาณานิคม
แต่สงครามเกาหลีในต้นทศวรรษ 1950 ทำให้ยูโกสลาเวียเปลี่ยนมุมมองใหม่
โดยเฉพาะท่าทีของอินเดีย พม่า และอียิปต์ในเวทีองค์การสหประชาชาติต่อสงครามครั้งนั้นที่เป็นตัวของตัวเองและมิได้คล้อยตามประเทศโลกตะวันตกไปทั้งหมด[2] ติโตจึงเดินทางเยือนอินเดียและพม่าใน
ค.ศ. 1954 ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยประสานงานกับจีนจนทำให้จีนกับยูโกสลาเวียสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตได้อย่างรวดเร็วในต้นปีถัดมา[3] และใน
ค.ศ. 1956 ติโตก็เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ 3
ฝ่าย อันประกอบไปด้วย ชวาหระลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) นายกรัฐมนตรีของอินเดีย กาเมล
อับเดล นัสเซอร์ (Gamal Abdel Nasser) ประธานาธิบดีของอียิปต์
และตัวเขา ณ เกาะไบรโอนี (Brioni) จนนำไปสู่การเกิดขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(The Non-Aligned Movement) ในเวลาต่อมา
ความสนใจที่ตรงกันในการแสวงหามิตรไมตรีกับประเทศในเอเชียและแอฟริกาทำให้เมื่อจีนกับยูโกสลาเวียเกิดความขัดแย้งกันในปลายทศวรรษ
1950 จีนได้พยายามสกัดกั้นความเคลื่อนไหวทางการทูตของยูโกสลาเวีย[4]
โดยเมื่อติโตเดินทางเยือนอินโดนีเซีย พม่า อินเดีย ซีลอน (ศรีลังกา) เอธิโอเปีย
ซูดาน สหสาธารณรัฐอาหรับ (อียิปต์) และกรีซ รวม 8 ประเทศเป็นเวลาติดต่อกันตั้งแต่เดือนธันวาคม
ค.ศ. 1958 ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1959 จีนได้ออกมากล่าวโจมตีว่า ติโตเป็นเครื่องมือของลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกันและมิได้สนับสนุนผลประโยชน์ของชาวเอเชียและแอฟริกาอย่างแท้จริง
ดังความตอนหนึ่งในบทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ประชาชนรายวัน เมื่อวันที่ 18
มีนาคม ค.ศ. 1959 ที่ระบุว่า
กลุ่มของติโตไม่ได้สนับสนุนประชาชนอินโดนีเซียในการต่อสู้ที่เป็นธรรมเพื่อปลดปล่อยอีเรียนตะวันตกเลย
และแทนที่จะสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเอกราชแห่งชาติของชาวอาหรับ
กลุ่มของเขากลับขอให้บรรดารัฐอาหรับคำนึงถึงผลประโยชน์ของโลกตะวันตกและดำเนินมาตรการที่ยอมรับได้ทั้ง
2 ฝ่าย ส่วนเรื่องการต่อสู้อย่างทรหดและเด็ดเดี่ยวของประชาชนแอลจีเรียเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาตินั้น
กลุ่มของติโตถึงขั้นบอกว่าไม่ควรยื่นข้อเสนอใดๆ ที่จะทำให้ปัญหายุ่งยากมากขึ้น
ภายหลังชัยชนะของการปฏิวัติแห่งชาติของอิรัก
กลุ่มของติโตร้องขออย่างเปิดเผยให้อิรัก “ปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ชอบธรรมของโลกตะวันตก”
และหลีกเลี่ยง “ความตึงเครียด” ในความสัมพันธ์กับโลกตะวันตก
เมื่อประชาชนชาวอิรักที่กล้าหาญได้ยึดมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวในเอกราชและอธิปไตยของชาติ
สิ่งพิมพ์ของยูโกสลาเวียกลับโจมตีอิรักอย่างร้ายกาจอยู่หลายครั้ง
กลุ่มของติโตชื่นชมข้อตกลงไตรภาคีระหว่างอังกฤษ ตุรกี และกรีซ
โดยคัดค้านความปรารถนาของประชาชนชาวไซปรัสที่ต้องการเอกราช กลุ่มของเขาระบุว่าข้อตกลงนี้เป็น
“ข้อเท็จจริงเชิงบวก”[5]
ฝ่ายติโตเองก็ได้ออกมาตอบโต้ความพยายามของจีนในการสกัดกั้นบทบาทของยูโกสลาเวีย
โดยหลังเสร็จสิ้นภารกิจเยือน 8 ประเทศในครั้งนั้น
เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1959 โดยระบุว่า ในระหว่างที่เขาเดินทางเยือนอินโดนีเซียตั้งแต่วันที่ 23
ธันวาคม ค.ศ. 1958 ถึงวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1959 โจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีของจีนได้ออกมาปลุกปั่นไม่ให้ประชาชนชาวอินโดนีเซียเชื่อในคำพูดของเขา
เนื่องจากเป็นคำพูดของผู้รับใช้ลัทธิจักรวรรดินิยม[6] เรื่องดังกล่าวทำให้ในวันที่
18 มีนาคม ค.ศ. 1959 รองอธิบดีกรมโซเวียตและยุโรปตะวันออก
กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้เรียกอุปทูตยูโกสลาเวียประจำกรุงปักกิ่งมาพบเพื่อประท้วง
โดยระบุว่าโจวเอินไหลไม่เคยแสดงความเห็นใดๆ ต่อเรื่องดังกล่าว และการกุเรื่องเช่นนี้แสดงว่าติโตมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่[7]
เมื่อยูโกสลาเวียเป็นเจ้าภาพจัดประชุมขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดครั้งแรกที่กรุงเบลเกรดเมื่อเดือนกันยายน
ค.ศ. 1961 แม้จีนจะแสดงความชื่นชมต่อการประชุมครั้งนี้ที่ประเทศส่วนใหญ่ยังคงต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมและขอบคุณที่สนับสนุนข้อเรียกร้องของจีนที่ต้องการมีที่นั่งในองค์การสหประชาชาติแทนที่ไต้หวัน
แต่จีนก็ยังคงโจมตีติโต โดยบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ประชาชนรายวัน เมื่อวันที่
9 กันยายน ค.ศ. 1961 ได้ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า
ผลการประชุมครั้งนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ของพวกที่แก้ต่างให้กับลัทธิจักรวรรดินิยมและสวมเสื้อคลุมอำพรางว่าตนเองไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
พวกเขาซึ่งไม่อาจหันเหกระแสหลักของการประชุมที่เน้นการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมและลัทธิล่าอาณานิคมได้เผยธาตุแท้ออกมา
และติโตก็แสดงบทบาทเช่นนี้ชัดเจนในการประชุม[8]
---------------------------------------------
[1] Mao Zedong, On Diplomacy, 123.
[2] Alvin Z. Rubinstein, Yugoslavia and the
Nonaligned World (Princeton, NJ: Princeton University Press, 1970), 33.
[3] โจวว่าน, “อวี่จงซูเจิงตั๋วตี้ซานซื้อเจี้ย: อีจิ่วอู่ปาเต้าอีจิ่วอู๋จิ่วเหนียนเถี่ยทัวเตอะย่าเฟยจือสิง
(ร่วมแข่งขันกับจีนและโซเวียตในโลกที่สาม: การเดินทางเยือนเอเชียและแอฟริกาของติโตช่วง
ค.ศ. 1958 – 1959),” ใน เหลิ่งจ้านกั๋วจี้สื่อเหยียนจิว จิ่ว (วิจัยประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุคสงครามเย็น
เล่มเก้า), บรรณาธิการโดย หลี่ตานฮุ่ย (เป่ยจิง: ซื้อเจี้ยจือซื่อชูป่านเส้อ,
2010), 73, เชิงอรรถ 2. ทั้งนี้ พม่าเป็นประเทศนอกค่ายสังคมนิยมประเทศแรกที่ประกาศรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่
17 ธันวาคม ค.ศ. 1949 ส่วนอินเดียเป็นประเทศนอกค่ายสังคมนิยมประเทศแรกที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่
1 เมษายน ค.ศ. 1950
[4] เพิ่งอ้าง, 71-106
[5] Peking Review, 24 March 1959, 11.
[6] Ibid., 12.
[7] Ibid., 12.
[8] Peking Review, 15 September 1961, 6.