เกาหลีตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออก โดยมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นลงทะเลไปทางทิศใต้ ตอนเหนือของคาบสมุทรติดต่อกับรัสเซีย คาบสมุทรเหลียวตง (Liaodong) และดินแดนที่เรียกกันในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ว่าแมนจูเรีย (Manchuria) ส่วนชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอยู่ตรงข้ามกับคาบสมุทรซานตง (Shandong) ของจีนโดยมีทะเลเหลืองกั้นกลาง ขณะที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรก็อยู่ไม่ห่างจากเกาะคิวชู (Kyoshu) และเกาะฮอนชู (Honshu) ของญี่ปุ่นมากนัก ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ทำให้เกาหลีเป็นแหล่งปะทะของอำนาจทางวัฒนธรรม การเมือง และการทหารของรัฐต่างๆ จนกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก[1] ซึ่งจีนก็เป็นหนึ่งในตัวแสดงหลักของภูมิภาคดังกล่าว
จีนมีความสัมพันธ์กับคาบสมุทรเกาหลีมาเป็นระยะเวลาย้อนกลับไปได้หลายสหัสวรรษ
บันทึก สือจี้ (Shiji) ที่ซือหม่าเชียน (Sima
Qian) นักประวัติศาสตร์จีนเขียนเอาไว้เมื่อราวหนึ่งศตวรรษก่อน ค.ศ. ได้กล่าวถึงบุคคลที่มีนามว่า
จีจื่อ (Jizi) ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ซางของจีน (Shang
1,600 – 1,046 ปีก่อน ค.ศ.)
ที่ได้พาผู้คนจำนวน 5,000 คนไปตั้งอาณาจักรใหม่ทางตอนใต้ของแมนจูเรียเมื่อราว
1,100 ปีก่อน ค.ศ.[2]
หรือที่ต่อมาเรียกว่าอาณาจักรโชซอนโบราณ (Old Choson) แม้นักประวัติศาสตร์จะยังคงถกเถียงกันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงตำนาน
แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนว่าในยุคราชวงศ์โจวตะวันออกของจีน (Eastern Zhou
770-256 ปีก่อน ค.ศ.) แคว้นฉี (Qi) ในคาบสมุทรซานตงได้ทำการค้ากับอาณาจักรโชซอนโบราณ[3] และเมื่อถึง
209 ปีก่อน ค.ศ.
ซึ่งจีนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์ฉิน (Qin 221-209
ปีก่อน ค.ศ.) สู่ราชวงศ์ฮั่น (Han 206 ปีก่อน
ค.ศ. – ค.ศ. 220) บุคคลผู้มีนามว่า เว่ยหม่าน (Wei
Man) ก็ได้อพยพผู้คนจากทางเหนือของจีนไปสวามิภักดิ์กับอาณาจักรโชซอนโบราณและต่อมาเมื่อ
190 ปีก่อน ค.ศ. เขาได้ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรดังกล่าวและมีบทบาทสำคัญที่ทำให้โชซอนโบราณมีความเข้มแข็งจนกลายเป็นข้อกังวลด้านความมั่นคงของจีน
ภัยคุกคามหลักที่จีนสมัยต้นราชวงศ์ฮั่นต้องเผชิญก็คือการรุกรานของชาวฉุงหนู
(Xiongnu) ที่มาจากมองโกเลีย จักรพรรดิฮั่นพระองค์แรกๆ
ทรงดำเนินนโยบายประนีประนอมกับกษัตริย์ฉุงหนูด้วยการยกเจ้าหญิงจีนให้ไปอภิเษกสมรสด้วย
หรือที่เรียกว่านโยบายเหอชิน (heqin) แต่เมื่อถึงรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้
(Han Wudi 141-87 ปีก่อน ค.ศ.) พระองค์ได้ตัดสินพระทัยใช้กำลังจัดการกับชาวฉุงหนูด้วยการโอบล้อมทั้งทางทิศตะวันตกและตะวันออก
ซึ่งในทางทิศตะวันออกนั้นหมายถึงการปราบปรามอาณาจักรโชซอนโบราณเพื่อมิให้เป็นพันธมิตรกับพวกฉุงหนูและคุกคามความมั่นคงของจีนได้อีกต่อไป
กองทัพของราชวงศ์ฮั่นเมื่อ 109 ปีก่อน ค.ศ. จึงได้รุกรานโชซอนโบราณทั้งทางบกและทางทะเลจนอาณาจักรดังกล่าวล่มสลายลงในปีถัดมา
ฮั่นอู่ตี้ทรงเปลี่ยนโชซอนโบราณให้กลายเป็นอาณานิคมของจีนโดยแบ่งเป็น 4 มณฑล ครอบคลุมตอนเหนือและตอนกลางของคาบสมุทรเกาหลี[4]
อำนาจการปกครองของจีนเหนือคาบสมุทรเกาหลีเริ่มเสื่อมถอยลงภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นในคริสต์ศตวรรษที่
3 และเกาหลีก็เข้าสู่ยุคสามอาณาจักรอันประกอบไปด้วยโกกุเรียว
(Koguryo) แปกเจ (Paekche) และซิลลา (Silla)
แม้ว่าอาณาจักรทั้งสามจะเป็นอิสระจากจีน
หากแต่ยังคงส่งคณะทูตบรรณาการไปยังจีนรวมทั้งรับอิทธิพลและแบบแผนทางวัฒนธรรมจากจีนอย่างต่อเนื่อง
โกกุเรียวร่างประมวลกฎหมายตามแบบจีน
จัดตั้งสถาบันสอนปรัชญาขงจื่อและประวัติศาสตร์จีน แปกเจรับศาสนาพุทธจากพระสงฆ์ที่มาจากจีนและเป็นตัวกลางนำศาสนาพุทธและวัฒนธรรมจีนส่งต่อไปยังญี่ปุ่น
ส่วนซิลลาก็ได้รับเอาระบบกฎหมาย ระบบราชการ และการนับศักราชแบบจีนไปใช้[5]
เมื่อจีนกลับมาเป็นเอกภาพภายใต้ราชวงศ์สุย (Sui ค.ศ. 581 - 618) และราชวงศ์ถัง (Tang ค.ศ. 618 - 907) จีนก็หันมาดำเนินนโยบายต่อคาบสมุทรเกาหลีแบบเดียวกับจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้อีกครั้งหนึ่ง ราชวงศ์สุยส่งทหารไปทำสงครามกับอาณาจักรโกกุเรียวครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 598 และครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 612 – 614 ซึ่งในครั้งหลังนี้ใช้ทหารมากถึง 1,000,000 คน แต่ก็ล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง และกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ราชวงศ์สุยต้องล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว[6] ขณะที่ความพยายามที่จะใช้กำลังในต้นราชวงศ์ถังก็ล้มเหลวอีกเช่นกัน จักรพรรดิถังเกาจง (Tang Gaozong ครองราชย์ ค.ศ. 649 – 683) จึงทรงเปลี่ยนยุทธวิธีเสียใหม่ด้วยการใช้ความแตกแยกเป็น 3 อาณาจักรบนคาบสมุทรเกาหลีให้เป็นประโยชน์ โดยจีนได้ร่วมมือกับอาณาจักรซิลลาบุกทำลายอาณาจักรแปกเจและอาณาจักรโกกุเรียวได้สำเร็จเมื่อ ค.ศ. 660 และ 668 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ความพยายามของจีนที่จะยึดครองเกาหลีเป็นอาณานิคมอีกครั้งนั้นก่อให้เกิดแรงต้านอย่างมากจากทั้งอาณาจักรซิลลาและจากประชาชนที่เคยอยู่ภายใต้อาณาจักรแปกเจและโกกุเรียว ประกอบกับในทศวรรษ 670 จีนกำลังติดพันสงครามกับทิเบต จึงได้ล้มเลิกความพยายามที่จะปกครองเกาหลีแบบอาณานิคม[7] แม้ว่าอาณาจักรซิลลาจะยังส่งบรรณาการให้กับจีน แต่ในทางปฏิบัติถือได้ว่าเป็นอิสระจากการควบคุมของจีนอย่างแท้จริงจนถูกแทนที่ด้วยอาณาจักรโคเรียว (Koryo) ในคริสต์ศตวรรษที่ 10
จีนในยุคห้าราชวงศ์ (Five
Dynasties ค.ศ. 907 – 960) และราชวงศ์ซ่ง (Song
ค.ศ. 960 – 1279) ถือได้ว่าไม่มีอิทธิพลทางการทหารใดๆ
เหนือคาบสมุทรเกาหลีเลย ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายอำนาจของพวกชี่ตัน (Khitan)
ในมองโกเลียซึ่งได้สถาปนาอาณาจักรเหลียว (Liao ค.ศ. 907 – 1125) และปกครองภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
โดยใน ค.ศ. 993 อาณาจักรโคเรียวถูกบังคับให้ยอมเป็นรัฐบรรณาการของอาณาจักรเหลียวและยุติการส่งบรรณาการแก่ราชวงศ์ซ่ง
ขณะที่ใน ค.ศ. 1005 ราชวงศ์ซ่งก็ต้องยอมทำข้อตกลงส่งเงินรายปีให้แก่อาณาจักรเหลียวเช่นเดียวกัน[8]
แต่กระนั้นอาณาจักรโคเรียวยังคงรับเอาแบบแผนการปกครองจากจีนไปใช้
ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังที่เมืองแกซอง (Gaeseong) ซึ่งเลียนแบบมาจากนครฉางอัน
(Chang’an) ของราชวงศ์ถัง
การถวายพระนามแด่ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรโคเรียวว่า “แทโจ” (Taejo) หรือก็คือ “ไท่จู่” (Taizu) ตามแบบจักรพรรดิจีน
และการเริ่มใช้ระบบสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการแบบจีนเมื่อ ค.ศ. 958[9] และจีนยังคงค้าขายทางทะเลกับโคเรียวอยู่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งทั้งสองฝ่ายตกอยู่ภายใต้การยึดครองของชาวมองโกลในคริสต์ศตวรรษที่
13
ในกลางคริสต์ศตวรรษที่
14 ชาวจีนได้ลุกฮือขึ้นขับไล่ชาวมองโกลและสถาปนาราชวงศ์หมิง (Ming)
ขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1368 และเมื่อถึง ค.ศ. 1387
หงอู่ (Hongwu ครองราชย์ ค.ศ. 1368 –
1398) ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์หมิงก็ทรงปราบปรามชาวมองโกลภายใต้การนำของนากาชู
(Naghachu) บริเวณแมนจูเรียตอนใต้ได้สำเร็จ
จากนั้นก็มีพระราชประสงค์ที่จะผนวกเอาเขตไคหยวน (Kaiyuan) หรือปัจจุบันคือมณฑลจี๋หลิน
(Jilin) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ตรงข้ามกับกษัตริย์ยู (U
ครองราชย์ ค.ศ. 1374 – 1388) แห่งอาณาจักรโคเรียวทรงต้องการจำกัดอำนาจทางการทหารของราชวงศ์หมิงในแมนจูเรียเนื่องจากบริเวณดังกล่าวเคยเป็นดินแดนของบรรพชนเกาหลีมาก่อน[10] ดังนั้นใน
ค.ศ. 1388 กษัตริย์ยูจึงให้แม่ทัพยีซองเกีย (Yi
Seong-gye) นำทหารไปขับไล่ราชวงศ์หมิงออกไปจากเขตไคหยวน
แต่แล้วแม่ทัพคนดังกล่าวกลับขัดพระราชโองการและหันมายึดอำนาจจากพระองค์จนนำไปสู่การสิ้นสุดยุคอาณาจักรโคเรียว
ยีซองเกียสถาปนาตนเองเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรโชซอน (Choson ค.ศ. 1392 – 1910) รวมทั้งสร้างสันติภาพกับจีนด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการ
หลังจากนั้นการไปมาหาสู่ระหว่างคณะทูตของทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนและสม่ำเสมอจนเกาหลีกลายเป็นรัฐบรรณาการตัวอย่างในสายตาของจีน[11]
จีนมีเหตุที่ต้องเข้าไปพัวพันทางการทหารบนคาบสมุทรเกาหลีอีกครั้งเมื่อโทโยโตมิ
ฮิเดโยชิ (Toyotomi Hideyoshi) สามารถรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จใน
ค.ศ. 1590 และวางแผนจะยึดครองแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียโดยบุกโจมตีเกาหลีใน
ค.ศ. 1592 และ 1597 จนทำให้ราชวงศ์หมิงต้องส่งทหารออกไปต่อสู้
แม้ว่าในที่สุดจีนจะสามารถขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากคาบสมุทรเกาหลีได้สำเร็จ หากแต่ราชวงศ์หมิงก็ต้องทุ่มกำลังทหารไปถึง
200,000 คนและเงินอีก 10,000,000 ตำลึง
ซึ่งกลายเป็นปัญหาหนึ่งที่นำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์หมิงในที่สุด[12]
ต่อมาเมื่อชาวแมนจูได้สถาปนาราชวงศ์ชิง (Qing ค.ศ. 1644
– 1911) และเข้าปกครองจีนแทนที่ราชวงศ์หมิง
เกาหลีก็ยังคงความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการกับจีนอยู่ต่อมา
แม้ว่าในส่วนลึกแล้วเกาหลีจะดูถูกชาวแมนจูว่าเป็นอนารยชน
หากแต่ก็ยอมรับราชวงศ์ชิงในฐานะผู้สืบทอดวัฒนธรรมจีนอันยิ่งใหญ่ต่อจากราชวงศ์หมิง
อีกทั้งการได้รับการรับรองจากราชวงศ์ชิงยังส่งผลดีต่อความมั่นคงในอำนาจของกษัตริย์เกาหลีที่ต้องเผชิญกับการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในระบบราชการอีกด้วย[13]
ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ
เหตุใดจีนในยุคราชวงศ์ชิงที่มีเอกภาพและขยายการปกครองเข้าไปยังดินแดนต่างๆ ทั้งไต้หวัน
มองโกเลีย ทิเบต และซินเจียง (Xinjiang) จึงไม่ดำเนินรอยตามราชวงศ์ฮั่น
ราชวงศ์สุย และราชวงศ์ถังในการขยายอำนาจเข้าไปปกครองคาบสมุทรเกาหลี คำตอบที่อาจเป็นไปได้ก็คือ
เมื่อถึงยุคอาณาจักรโชซอน เกาหลีก็ได้รับแบบแผนทางการเมืองและวัฒนธรรมจากจีนเข้าไปอย่างเต็มที่แล้วจนมีสถานะทางอารยธรรมต่ำกว่าจีนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หรือเท่ากับว่าจีนไม่มีภารกิจที่จะต้องเปลี่ยนแปลงเกาหลีให้เป็นผู้มีอารยธรรมอีกต่อไป
การใช้กำลังเข้ารุกรานหรือจัดการปกครองโดยตรงในเกาหลีจึงไม่มีความจำเป็น[14] อีกทั้งราชวงศ์ชิงในคริสต์ศตวรรษที่
18 ก็สามารถควบคุมอนารยชนกลุ่มอื่นๆ ทางเหนือไว้ได้ทั้งหมด
จึงไม่มีความกังวลใจว่าจะมีรัฐใดใช้เกาหลีเป็นพันธมิตรหรือเป็นฐานที่มั่นที่จะบ่อนทำลายความมั่นคงของจีนจนต้องเข้าไปควบคุมโดยตรง
เกาหลีจึงเป็นอิสระจากการควบคุมของจีนมาเกือบตลอดยุคราชวงศ์ชิง
เกาหลีกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงของจีนอีกครั้งในปลายคริสต์ศตวรรษที่
19 เนื่องจากญี่ปุ่นได้เข้ามาบีบบังคับให้อาณาจักรโชซอนลงนามในสนธิสัญญาเปิดประเทศ
ที่เรียกว่าสนธิสัญญากังหวา (The Treaty of Kanghwa) เมื่อ
ค.ศ. 1876 ราชวงศ์ชิงจึงตระหนักว่าความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการที่เป็นอยู่ไม่เพียงพอที่จะรักษาผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีนได้อีกต่อไป
ราชวงศ์ชิงจึงหันมาดำเนินนโยบายแบบลัทธิจักรวรรดินิยม (imperialism) ต่ออาณาจักรโชซอนด้วยการทำสนธิสัญญาที่ไม่เท่าเทียม (unequal
treaty) รวมทั้งอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเรือปืนและโทรเลขในการรักษาผลประโยชน์ของตนเหนืออาณาจักรโชซอนเอาไว้
ทั้งหมดนี้ไม่ต่างไปจากพฤติกรรมของประเทศมหาอำนาจอื่นๆ
ที่ทำกับจีนและเกาหลีในช่วงเวลาเดียวกัน[15]
อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวของราชวงศ์ชิงได้นำไปสู่การเผชิญหน้ากับญี่ปุ่นจนกลายเป็นสงครามใน
ค.ศ. 1894 ซึ่งจีนเป็นฝ่ายแพ้และสูญเสียอิทธิพลเหนือคาบสมุทรเกาหลีไปในที่สุด
เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่
20 ชัยชนะของญี่ปุ่นในสงครามกับรัสเซียเมื่อ ค.ศ. 1905
ได้ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือคาบสมุทรเกาหลีแต่เพียงผู้เดียว
การผนวกอาณาจักรโชซอนเข้าเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1910 ทำให้เกาหลีกลายเป็นฐานที่มั่นของญี่ปุ่นที่จะใช้รุกรานจีนในเวลาต่อมา
ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานแมนจูเรียเมื่อ ค.ศ. 1931 และสงครามจีน-ญี่ปุ่นช่วง
ค.ศ. 1937 – 1945 ซึ่งเจียงไคเช็ค (Chiang Kai-shek) หรือเจี่ยงเจี้ยสือ (Jiang Jieshi) ผู้นำของสาธารณรัฐจีนก็ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างดี
ดังที่เขาได้กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาพรรคกั๋วหมินตั่ง (Guomindang) เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1938 ความว่า
เนื่องจากเดิมเกาหลีเป็นรัฐบรรณาการของประเทศเรา
ส่วนไต้หวันก็เป็นดินแดนของประเทศจีนเรา
เมื่อพิจารณาจากสภาพการณ์แล้วต้องถือว่าทั้งสองคือเส้นชีวิตและความเป็นความตายของประเทศจีนเรา
ประเทศจีนจะต้องมีการป้องกันประเทศอย่างจริงจัง
ต้องรักษาสันติภาพของเอเชียตะวันออกให้ยั่งยืน
จะปล่อยให้เกาหลีกับไต้หวันอยู่ในมือจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นต่อไปอีกไม่ได้[16]
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นเมื่อ
ค.ศ. 1941 จีนก็เริ่มให้ความสนใจกับอนาคตของเกาหลีหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่
2 โดยในเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม ค.ศ. 1942 รัฐบาลกั๋วหมินตั่งได้ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อกำหนดนโยบายต่อเกาหลี
ข้อสรุปที่ได้ก็คือ จีนควรสร้างทัศนคตินิยมจีนให้เกิดขึ้นในหมู่นักชาตินิยมเกาหลีที่เรียกร้องเอกราชจากญี่ปุ่นเพื่อป้องกันมิให้เกาหลีหลังสิ้นสงครามตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจอื่นๆ
ซึ่งความกังวลของรัฐบาลกั๋วหมินตั่งในขณะนั้นพุ่งเป้าไปที่สหภาพโซเวียต[17]
อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลกั๋วหมินตั่งก็มิได้มีอิทธิพลพอที่จะกำหนดความเป็นไปบนคาบสมุทรเกาหลี
แถลงการณ์ไคโร (The Cairo Declaration) ระหว่างสหรัฐอเมริกา
สหราชอาณาจักรฯ และสาธารณรัฐจีนเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน
ค.ศ. 1943 ระบุแต่เพียงว่าเกาหลีจะเป็นเอกราชหลังความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น
หากแต่มิได้มีการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนเวลา ขั้นตอน
และจำนวนประเทศที่จะเข้ามาร่วมจัดการเพื่อนำไปสู่เอกราช และไม่นานหลังจากที่ญี่ปุ่นปราชัยใน
ค.ศ. 1945 รัฐบาลกั๋วหมินตั่งก็ตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
จนกระทั่งเมื่อเจียงไคเช็คพ่ายแพ้และย้ายไปตั้งรัฐบาลบนเกาะไต้หวันในอีก 4 ปีต่อมา เกาหลีก็ได้ถูกแบ่งเป็น 2 ประเทศตามแนวเส้นขนานที่
38 ไปเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
(เกาหลีเหนือ) ซึ่งมีสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุน
และสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้)
ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน การกำหนดนโยบายของจีนต่อเกาหลีที่แบ่งเป็น 2
ส่วนจึงตกเป็นหน้าที่ของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่
1 ตุลาคม ค.ศ. 1949
จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีนั้นมีทั้งช่วงที่จีนเข้าไปปกครองเกาหลีโดยตรง
และช่วงที่เกาหลีเป็นอิสระจากจีนโดยยังคงรักษาความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการกับจีนเอาไว้
แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จีนให้ความสำคัญมาตลอดนั้นก็คือการระวังไม่ให้เกาหลีกลายเป็นพันธมิตรหรือฐานที่มั่นของรัฐอื่นที่จะคุกคามความมั่นคงของจีนได้
ดังกรณีของราชวงศ์ฮั่นที่ใช้กำลังบุกยึดอาณาจักรโชซอนโบราณเพื่อป้องกันมิให้อาณาจักรดังกล่าวกลายเป็นพันธมิตรชองชาวฉุงหนูที่เป็นศัตรูของจีน
หรือในกรณีของราชวงศ์หมิงที่นำกำลังทหารเข้าไปขับไล่ญี่ปุ่นออกจากคาบสมุทรเกาหลีเพื่อทำลายแผนการของฮิเดโยชิที่จะครอบครองแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชีย
เป็นต้น ในลำดับต่อไปผู้เขียนจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือในยุคสงครามเย็น
โดยจะชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามของจีนที่จะสกัดกั้นอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาบนคาบสมุทรเกาหลี
และยังเป็นการป้องกันมิให้เกาหลีเหนือกลายเป็นเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียตไปด้วย
---------------------------------------------------------
[16]
ฉินเสี้ยวอี๋ และจางรุ่ยเฉิง, บก., จงกั๋วกั๋วหมินตั่งจงยางตั่งสื่อหุ้ย จงกั๋วเซี่ยนไต้สื่อสื่อเลี่ยวฉงเปียน ตี้ซานจี๋ คั่งรื่อสือชีฮุยฟู่ไถวันจือจ้งเย่าเหยียนลุ่น (ประมวลเอกสารประวัติศาสตร์จีนร่วมสมัย ฉบับสำนักงานประวัติศาสตร์กลางพรรคกั๋วหมินตั่งแห่งประเทศจีน เล่ม 3 ความเห็นที่สำคัญเกี่ยวกับการทวงคืนไต้หวันในยุคสงครามต่อต้านญี่ปุ่น) (ไถเป่ย: จิ้นไต้จงกั๋วชู่ป่านเส้อ, 1990), 2. อ้างถึงใน จั่วซวงเหวิน, “กวนอวี๋กั๋วหมินเจิ้งฝู่อวี๋ไถวันกวงฟู่เวิ่นถีเตอะอี้เตี่ยนปู่ชง,” (ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรัฐบาลกั๋วหมินตั่งกับปัญหาการทวงคืนไต้หวัน) คั่งรื่อจ้านเจิงเหยียนจิว (วารสารวิจัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่น) ฉบับที่ 2 (2005): เชิงอรรถ 7, สืบค้นจาก http://jds.cass.cn/Item/7657.aspx, เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2013.
[16]
ฉินเสี้ยวอี๋ และจางรุ่ยเฉิง, บก., จงกั๋วกั๋วหมินตั่งจงยางตั่งสื่อหุ้ย จงกั๋วเซี่ยนไต้สื่อสื่อเลี่ยวฉงเปียน ตี้ซานจี๋ คั่งรื่อสือชีฮุยฟู่ไถวันจือจ้งเย่าเหยียนลุ่น (ประมวลเอกสารประวัติศาสตร์จีนร่วมสมัย ฉบับสำนักงานประวัติศาสตร์กลางพรรคกั๋วหมินตั่งแห่งประเทศจีน เล่ม 3 ความเห็นที่สำคัญเกี่ยวกับการทวงคืนไต้หวันในยุคสงครามต่อต้านญี่ปุ่น) (ไถเป่ย: จิ้นไต้จงกั๋วชู่ป่านเส้อ, 1990), 2. อ้างถึงใน จั่วซวงเหวิน, “กวนอวี๋กั๋วหมินเจิ้งฝู่อวี๋ไถวันกวงฟู่เวิ่นถีเตอะอี้เตี่ยนปู่ชง,” (ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรัฐบาลกั๋วหมินตั่งกับปัญหาการทวงคืนไต้หวัน) คั่งรื่อจ้านเจิงเหยียนจิว (วารสารวิจัยสงครามต่อต้านญี่ปุ่น) ฉบับที่ 2 (2005): เชิงอรรถ 7, สืบค้นจาก http://jds.cass.cn/Item/7657.aspx, เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2013.