วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

จีนกับยูโกสลาเวียสมัยติโต (ตอนที่ 13 นัยสำคัญของการสมานไมตรีระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียต่อการต่างประเทศของจีน และจีนกับยูโกสลาเวียหลังอสัญกรรมของติโต)


“ในด้านการต่างประเทศ ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเราได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา

ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพกับญี่ปุ่น และไปเยือน 2 ประเทศนี้อย่างเป็นทางการ

สหายฮว่ากั๋วเฟิงไปเยือนเกาหลีเหนือ โรมาเนีย ยูโกสลาเวีย และอีก 4 ประเทศในยุโรป

สหายหลี่เซียนเนี่ยนและข้าพเจ้าไปเยือนหลายประเทศในเอเชียและแอฟริกา

คณะผู้แทนของหน่วยงานหลายระดับอีกเป็นจำนวนมากก็ไปเยือนประเทศต่างๆ ทั่วโลก

รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติเกือบทุกคนเดินทางเยือนต่างประเทศ ...
 
กิจกรรมเหล่านี้เป็นการริเริ่มรูปแบบใหม่ทางการทูตของประเทศเรา ช่วยสร้างสภาวะระหว่างประเทศที่เป็นคุณต่อนโยบาย 4 ทันสมัย
 
ของเรา และยังช่วยขยายแนวร่วมระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านลัทธิครองความเป็นใหญ่อีกด้วย”

เติ้งเสี่ยวผิง, ค.ศ. 1980[1]

 

          

            การสมานไมตรีระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียในทศวรรษ 1970 เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการสมานไมตรีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาในทศวรรษเดียวกัน กล่าวคือ การเยือนกรุงปักกิ่งของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) แห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1972 ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า จีนได้ลดความสำคัญของนโยบายต่างประเทศแบบปฏิวัติลงและยินดีจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศอื่นๆ อีกครั้งและทำให้ประเทศในค่ายโลกเสรีจำนวนมากหันมากระชับหรือสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ขณะที่การเยือนจีนของติโตเมื่อ ค.ศ. 1977 และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับพรรคต่อพรรคระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียในปีถัดมาก็เป็นการส่งสัญญาณเช่นกันว่า จีนยอมรับความแตกต่างและหลากหลายของลัทธิสังคมนิยมในประเทศต่างๆ และยุติการวางตนเป็นผู้ตัดสินความถูกผิดของโลกสังคมนิยม ดังที่เติ้งเสี่ยวผิงได้เน้นย้ำกับแกนนำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1980 ว่า  

 

ในยามที่พรรคคอมมิวนิสต์หนึ่งแสดงความเห็นต่อการกระทำของพรรคภราดาในต่างประเทศ พรรคดังกล่าวมักตัดสินพรรคอื่นด้วยรูปแบบที่เข้มงวดและตายตัว ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นแล้วว่าการทำเช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องจิตสำนึกทางการเมืองของประชาชน ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น และการรวมพลังของชนชั้น แล้วเราจะเอารูปแบบที่ตายตัวไปใช้กับความแตกต่างเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ... ความถูกต้องของหลักการและแนวทางภายในประเทศของพรรคนั้นๆ ก็ควรจะปล่อยให้พรรคและประชาชนของประเทศนั้นๆ เป็นผู้ตัดสิน เพราะสหายเหล่านั้นย่อมรู้จักสภาพของประเทศตนเองดีที่สุด[2]

 

            การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับพรรคต่อพรรคระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียได้เปิดทางให้จีนสามารถสมานไมตรีกับขบวนการยูโรคอมมิวนิสต์ (Eurocommunism) ได้สำเร็จ ขบวนการดังกล่าวก่อตัวขึ้นในอิตาลี ฝรั่งเศส และสเปนตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 โดยมุ่งสร้างลัทธิสังคมนิยมผ่านการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต่างจากลัทธิสังคมนิยมแบบสหภาพโซเวียตที่เน้นการใช้กำลังทำลายล้างลัทธิทุนนิยม และต่างจากประชาธิปไตยสังคมนิยม (social democracy) ที่มุ่งเอาข้อดีบางด้านของลัทธิสังคมนิยมมาปฏิรูปลัทธิทุนนิยม โดยในเดือนเมษายน ค.ศ. 1980 จีนต้อนรับการเยือนของเอนริโก เบอร์ลิงเกอร์ (Enrico Berlinguer) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีซึ่งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก โดยมีสมาชิกพรรคในขณะนั้นมากถึง 1,814,740 คน คิดเป็นร้อยละ 3.18 ของประชากรทั้งประเทศ และมีที่นั่งในสภาถึง 201 ที่นั่งจากทั้งหมด 630 ที่นั่ง[3] ตามด้วยการเยือนจีนของซันติอาโก คาร์ริโย (Santiago Carrillo) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สเปนในเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน ต่อมาที่ประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 12 เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1982 ก็ได้มีมติรับรองหลัก 4 ประการที่จีนใช้ในการดำเนินความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์อื่นๆ อันประกอบด้วย (1) การยอมรับความเป็นอิสระของกันและกัน (2) ความเท่าเทียมกัน (3) การเคารพซึ่งกันและกัน และ (4) การไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน[4] และจีนก็นำหลักการนี้ไปใช้ในการปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมของปีนั้น จนทำให้เมื่อถึงปลายทศวรรษ 1980 จีนได้กลับมามีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับสหภาพโซเวียตและประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออก หรือกล่าวได้ว่าการสมานไมตรีระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโลกสังคมนิยมทั้งหมด ซึ่งเมื่อประกอบเข้ากับการสมานไมตรีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาแล้วได้นำไปสู่สภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศที่ผ่อนคลายความตึงเครียดและเอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนนั่นเอง  

 

            หลี่เซียนเนี่ยน ประธานาธิบดีของจีนเดินทางเยือนกรุงเบลเกรดเมื่อ ค.ศ. 1984



            ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียหลังอสัญกรรมของติโตเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1980 ยังคงดำเนินไปตามปกติ ผู้นำระดับสูงของจีนที่เดินทางเยือนยูโกสลาเวียในทศวรรษดังกล่าวประกอบไปด้วยหูเย่าปัง (Hu Yaobang) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อ ค.ศ. 1983 หลี่เซียนเนี่ยน ประธานาธิบดีเมื่อ ค.ศ. 1984 และจ้าวจื่อหยาง นายกรัฐมนตรีเมื่อ ค.ศ. 1986 ขณะที่ดราโกสลาฟ มาร์โควิช (Dragoslav Markovic) ประธานสภาเปรซีเดียมแห่งสันนิบาตคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียเดินทางเยือนจีนเมื่อ ค.ศ. 1984 ตามด้วยสเตฟาน โคโรเสช (Stefan Korosec) กรรมการสภาเปรซีเดียมเมื่อ ค.ศ. 1987 อย่างไรก็ตาม ยูโกสลาเวียในทศวรรษ 1980 มิได้มีความสำคัญในสายตาของจีนเฉกเช่นในทศวรรษก่อนหน้านั้นอีกแล้ว เพราะตั้งแต่ ค.ศ. 1982 เป็นต้นมา จีนได้เริ่มปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต การสร้างแนวร่วมระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียตจึงค่อยๆ ลดความสำคัญลงและหมดไปเมื่อจีนกับสหภาพโซเวียตกลับมามีความสัมพันธ์กันอย่างปกติใน ค.ศ. 1989 และในทศวรรษนั้นเองที่จีนเริ่มมองการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจของยูโกสลาเวียตามสภาพที่เป็นจริง สิ่งพิมพ์ของทางการจีนนำเสนอปัญหานานาประการในระบบเศรษฐกิจของยูโกสลาเวีย ไม่ว่าจะเป็นการขาดดุลการค้า การขาดแคลนวัตถุดิบ และปัญหาเงินเฟ้อ[5] ยูโกสลาเวียจึงไม่ใช่ตัวแบบของการปฏิรูปที่น่าชื่นชมในสายตาของจีนอีกต่อไป

            จีนมองความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์และการแตกสลายของรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียใน ค.ศ. 1992 ด้วยความกังวลใจ เนื่องจากจีนเองก็เป็นประเทศที่มีประชากรหลายชาติพันธุ์เช่นกัน และในช่วงเวลานั้นเติ้งเสี่ยวผิงก็มีสุขภาพทรุดโทรมลงจนถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1997 รายงานฉบับหนึ่งของนักวิชาการจีนที่แจกจ่ายเฉพาะในหมู่ผู้นำระดับสูงของพรรคและรัฐเมื่อ ค.ศ. 1993 ได้เตือนว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนทำให้รัฐบาลส่วนกลางมีอำนาจลดลง และหากผู้นำที่เข้มแข็งถึงแก่อสัญกรรม จีนอาจมีชะตากรรมเฉกเช่นยูโกสลาเวียหลังสิ้นติโต[6] อย่างไรก็ตาม การถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองจากเจียงเจ๋อหมิน (Jiang Zemin) ไปสู่หูจิ่นเทา (Hu Jintao) เมื่อ ค.ศ. 2002 และส่งต่อไปยังสีจิ้นผิง (Xi Jinping) เมื่อ ค.ศ. 2012 ที่เป็นไปอย่างค่อนข้างราบรื่นนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า รัฐสังคมนิยมจีนในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างระบบการเมืองที่เป็นสถาบันโดยไม่ผูกติดกับตัวบุคคล ตรงข้ามกับรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียซึ่งได้กลายเป็นอดีตไปเรียบร้อยแล้ว    

----------------------------------------------------

[1] Deng Xiaoping, Selected Works Volume II, 232.
[2] Ibid., 300.
[3] ประทุมพร, เรื่องเดียวกัน, 320.
[4] อู๋ซิงถัง, เรื่องเดียวกัน.
[5] Beijing Review, 18 May 1981, 13-14; Beijing Review, 15 February 1982, 15-16; Beijing Review, 10 January 1983, 12; Beijing Review, 18-14 January 1988, 12-13.   
[6] “Internal Report: China Risks Breakup Like Yugoslavia,” Agence France-Presse, 20 September 1993, in China Since Tiananmen: Political, Economic, and Social Conflicts, ed. Lawrence R. Sullivan (Armonk, NY: M.E. Sharpe, 1995), 100.    

ไม่มีความคิดเห็น: