หลังการบุกเชโกสโลวะเกียของสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม
ค.ศ. 1968 ทางการจีนได้เริ่มยุติการกล่าวโจมตียูโกสลาเวีย
ทั้งนี้ดูได้จากสาส์นอำนวยพรที่เหมาเจ๋อตงส่งไปยังกรุงติรานาเนื่องในโอกาสวันปลดปล่อยแอลเบเนียเมื่อวันที่
28 พฤศจิกายนของปีนั้นที่ไม่มีข้อความวิพากษ์วิจารณ์ยูโกสลาเวียซึ่งเป็นศัตรูของแอลเบเนียเลย
ซึ่งต่างไปจากสาส์นเนื่องในโอกาสเดียวกันเมื่อ ค.ศ. 1966 และ
1967[1] และในเดือนมีนาคม
ค.ศ. 1969 ซึ่งตรงกับช่วงที่มีการปะทะกันบริเวณชายแดนจีน - โซเวียต อตานาส อิโคโนมอฟสกี้ (Atanas
Ikonomovski) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศของยูโกสลาเวียก็เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อทำข้อตกลงการค้าและการชำระเงิน
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1958 ที่มีการติดต่อกันในระดับรัฐมนตรี
หลังจากนั้นมูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในทศวรรษถัดมา
(ดูตารางที่ 2) และในที่สุด เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1969
จีนกับยูโกสลาเวียก็ตกลงส่งเอกอัครรัฐทูตกลับไปประจำยังประเทศของกันและกันอีกครั้ง
หลังจากที่ลดระดับเหลือเพียงอุปทูตมานาน 11 ปี
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการแสวงหาแนวร่วมเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต
ทางการจีนได้แก้ไขเนื้อหาในแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกชั้นมัธยมศึกษา กล่าวคือ
ในทศวรรษ 1960 แบบเรียนดังกล่าวระบุว่า ยูโกสลาเวียเป็นตัวอย่างของประเทศที่เชื่อว่าการเปลี่ยนจากลัทธิทุนนิยมไปเป็นลัทธิสังคมนิยมนั้นสามารถเกิดขึ้นได้อย่างสันติ
หรือที่เรียกว่า “การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ (peaceful transition)” ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของเหมาเจ๋อตง แต่เมื่อถึงครึ่งแรกของทศวรรษ 1970
ได้มีการลบข้อความเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติของยูโกสลาเวียออกไปจากแบบเรียน[2] อีกทั้งจีนยังนำเอาหลักปัญจศีลที่ประกาศใช้กับประเทศนอกค่ายสังคมนิยมตั้งแต่กลางทศวรรษ
1950 มาปรับใช้กับประเทศที่ตนเคยประณามว่าเป็นลัทธิแก้อย่างยูโกสลาเวียอีกด้วย
โดยในงานเลี้ยงรับรองที่เอกอัครรัฐทูตยูโกสลาเวียประจำกรุงปักกิ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่
27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1970 เฉียวกว้านหวา (Qiao
Guanhua) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้กล่าวว่า
รัฐบาลจีนยึดมั่นเสมอมาว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศควรดำเนินไปภายใต้หลัก 5 ประการว่าด้วยการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของกันและกัน
การไม่รุกรานกันและกัน การไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน
ความเสมอภาคและผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หลักการนี้ควรใช้กับทุกประเทศไม่ว่าจะมีระบบสังคมที่เหมือนหรือแตกต่างกัน
เรามีความยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดำเนินไปบนหลักการดังกล่าว
(เน้นโดยผู้วิจัย)[3]
นอกจากนี้ จีนยังได้ยกย่องและสนับสนุนยูโกสลาเวียที่ยืนหยัดในการรักษาเอกราชและต้านทานแรงกดดันจากอภิมหาอำนาจอยู่ตลอดมา
ดังเช่นเมื่อมีร์โก เทปาวัช (Mirko Tepavac) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูโกสลาเวียเดินทางเยือนจีนในเดือนมิถุนายน
ค.ศ. 1971 หลี่เซียนเนี่ยน (Li Xiannian) รองนายกรัฐมนตรีของจีนก็กล่าวในงานเลี้ยงรับรองว่า
ประชาชนชาวยูโกสลาเวียมีขนบของการปฏิวัติที่รุ่งโรจน์
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้
พวกเขาได้ต้านทานแรงกดดันจากต่างชาติและต่อสู้อย่างองอาจกับการแทรกแซง
การบ่อนทำลาย และการข่มขู่คุกคามของอภิมหาอำนาจ ประชาชนจีนชื่นชมในจิตวิญญาณของชาวยูโกสลาเวียที่กล้าท้าทายและต่อสู้กับพลังอันหนักหน่วง
เพื่อนๆ ชาวยูโกสลาเวียจงมั่นใจเถิดว่า
ในการต่อสู้เพื่อต่อต้านการคุกคามจากต่างชาติและรักษาเอกราชของชาติของพวกท่านนั้น
ประชาชนจีนให้การสนับสนุนพวกท่านอย่างแน่วแน่เสมอ[4]
การพบปะครั้งสำคัญระหว่างผู้นำของจีนกับยูโกสลาเวียเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม
ค.ศ. 1975 เมื่อเซมาล บิเจดิช (Dzemal Bijedic) นายกรัฐมนตรีของยูโกสลาเวียเดินทางเยือนจีนและพบปะกับเหมาเจ๋อตง
ข้อเขียนของกงเลี่ยฟูซึ่งขณะนั้นเป็นนักการทูตจีนประจำกรุงเบลเกรดเล่าถึงการที่เหมากล่าวชื่นชมติโตต่อหน้าบิเจดิชว่า
“ติโต ภาษาจีนอ่านว่า เถี่ยทัว คำนี้หมายถึงเหล็กที่ไม่กลัวแรงบีบคั้นจากสหภาพโซเวียต”[5]
และยังเล่าต่อไปว่า บิเจดิชได้เชิญเติ้งเสี่ยวผิงในฐานะรองนายกรัฐมนตรีให้ไปเยือนยูโกสลาเวีย
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศของจีนก็ได้แนะนำให้ไปเยือนในครึ่งแรกของ ค.ศ. 1976[6] แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้
เพราะหลังจากโจวเอินไหลถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 สถานการณ์ทางการเมืองภายในของจีนก็สับสนวุ่นวายอยู่เกือบตลอดปี
ไม่ว่าจะเป็นการปลดเติ้งออกจากตำแหน่งหลังการชุมนุม ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อเดือนเมษายน
การถึงแก่อสัญกรรมของเหมาเมื่อเดือนกันยายน และการจับกุมแก๊งสี่คน (The Gang
of Four) ที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวัฒนธรรมเมื่อเดือนตุลาคม
จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ ค.ศ. 1968 เป็นต้นมา เหมาเจ๋อตงได้ให้ความเห็นชอบต่อการสมานไมตรีกับยูโกสลาเวียเอาไว้แล้ว
ดังนั้น เมื่อการเมืองภายในของจีนกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้งหลังเดือนตุลาคม ค.ศ. 1976 โดยมีฮว่ากั๋วเฟิงเป็นประธานพรรคและนายกรัฐมนตรี จีนก็ได้เดินหน้าสมานไมตรีต่อไป
โดยในเดือนมกราคม ค.ศ. 1977
เมื่อนายกรัฐมนตรีบิจดิชของยูโกสลาเวียถึงแก่อสัญกรรมจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกระหว่างเดินทางจากกรุงเบลเกรดไปยังเมืองซาราเจโว
(Sarajevo) ฮว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ส่งสาส์นไปยังติโตเพื่อแสดงความเสียใจโดยระบุว่า
บิเจดิชเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้จีนกับยูโกสลาเวียมีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกันมากขึ้น
และรัฐบาลจีนยังส่งพวงหรีดไปให้ทั้งที่สถานทูตยูโกสลาเวียประจำกรุงปักกิ่งและที่กรุงเบลเกรด[7] ตามด้วยการเดินทางเยือนยูโกสลาเวียของคณะผู้แทนจากสภาประชาชนแห่งชาติจีนที่นำโดยไซฟูดิน
(Saifudin) และเลี่ยวเฉิงจื้อ (Liao Chengzhi) ในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ การเดินทางเยือนจีนของติโตในวันที่
30 สิงหาคม ค.ศ. 1977 โดยมีผู้นำระดับสูงของจีนอย่างฮว่ากั๋วเฟิง
เติ้งเสี่ยวผิง และหลี่เซียนเนี่ยนไปรับเขาถึงสนามบิน ทางการจีนได้จัดประชาชนมายืนต้อนรับทั้งที่สนามบินและที่จัตุรัสเทียนอันเหมินรวมกันถึง
100,000 คน บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ประชาชนรายวัน
ฉบับวันนั้นระบุว่า การเดินทางเยือนจีนของติโตจะยิ่งทำให้เกิดแนวร่วมต่อต้านลัทธิครองความเป็นใหญ่
(hegemonism) ที่แข็งแกร่งขึ้นและมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงในระดับสากล[8]
---------
ตารางที่
2
มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียช่วง
ค.ศ. 1970 – 1980 ตามตัวเลขของทางการจีน
ค.ศ.
|
การส่งออกไปยังยูโกสลาเวีย
(พ้นล้านเหรียญสหรัฐ)
|
การนำเข้าจากยูโกสลาเวีย
(พ้นล้านเหรียญสหรัฐ)
|
1970
|
1,050
|
820
|
1972
|
4,020
|
11,600
|
1974
|
14,880
|
70,260
|
1976
|
10,800
|
19,360
|
1978
|
58,410
|
29,190
|
1980
|
46,350
|
150,120
|
ที่มาของข้อมูล: Trade
Statistics of China 1970-1985 – Utilization and Appraisal (Tokyo: Institute
of Developing Economies, 1987), 3, 10.
--------------------------------------------
[1] Peking Review, 2 December 1966, 9-11, 27; Peking Review, 1
December 1967, 6-7; Peking Review, 29 November 1968, 14-15.
[2] Dorothea A. L. Martin, The Making of a Sino-Marxist
World View: Perceptions and Interpretations of World History in the People’s
Republic of China (Armonk, NY: M. E. Sharpe, 1990), 84.
[3] Peking Review, 4 December 1970, 23.
[4] Peking Review, 18 June 1971, 4.
[5] กงเลี่ยฟู, “อีจิ่วชีชีเหนียนหนานซือลาฟูจ๋งถ่งเถี่ยทัวฝ่างหัวเฉียนไถมู่โห้ว,”
(เบื้องหน้าเบื้องหลังการเดินทางเยือนจีนของประธานาธิบดีติโตแห่งยูโกสลาเวียเมื่อ
ค.ศ. 1977) จากเว็บไซต์ข่าวของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
http://dangshi.people.com.cn/n/2013/0426/c85037-21291224-5.html, เข้าไปเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2558.
[6] เพิ่งอ้าง.
[7] Peking Review, 28 January 1977, 5, 15.
[8] Peking Review, 2 September 1977, 3-6.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น