วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

ปักกิ่งปะทะฮาวานา: ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาช่วง ค.ศ. 1964 – 1995 (ตอนที่ 11 การปรับเปลี่ยนนโยบายวิเทศสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและการเริ่มต้นปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตในต้นทศวรรษ 1980)


ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตตลอดทศวรรษ 1960 และ 1970 ตั้งอยู่บนข้อกล่าวหาที่ฝ่ายแรกมีต่อฝ่ายหลังรวม 2 ข้อกล่าวหา ข้อกล่าวหาแรกมีมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1960 นั่นคือ การระบุว่าสหภาพโซเวียตเป็น “ลัทธิแก้” เนื่องจากผู้นำโซเวียตตีความลัทธิมากซ์-เลนินเสียใหม่ว่าโลกสังคมนิยมกับโลกทุนนิยมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้  ซึ่งจีนไม่เห็นด้วยและเชื่อมั่นว่าตนเองเดินตามเส้นทางของลัทธิมากซ์-เลนินอย่างแท้จริง  และยิ่งเมื่อการเมืองจีนเริ่มมีลักษณะซ้ายจัดมากขึ้นในกลางทศวรรษ 1960 ทางการจีนก็ถึงกับเสนอว่าแนวคิดของเหมาเจ๋อตงนั้นถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงและสามารถนำไปปรับใช้ได้กับการปฏิวัติทั่วโลก[1] ส่วนข้อกล่าวหาที่สองนั้นเกิดขึ้นหลังการบุกเชโกสโลวะเกียของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1968 นั่นคือการระบุว่าสหภาพโซเวียตเป็น “ลัทธิสังคมจักรวรรดินิยม” อันหมายถึง การอ้างตนว่าเป็นลัทธิสังคมนิยม แต่กลับมีพฤติกรรมเฉกเช่นลัทธิจักรวรรดินิยม[2]

อย่างไรก็ตาม หลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมาเจ๋อตงใน ค.ศ. 1976 และการกลับสู่อำนาจของเติ้งเสี่ยวผิงในปีถัดมา ทางการจีนได้เริ่มแสดงท่าทียืดหยุ่นมากขึ้นในการตีความเกี่ยวกับอุดมการณ์ ดังที่ในช่วง ค.ศ. 1977 – 1978 เติ้งเสี่ยวผิงได้วิจารณ์แนวคิด “อะไรก็ตามสองประการ (The Two Whatevers)” ของฮว่ากั๋วเฟิง (Hua Guofeng) ผู้สืบทอดตำแหน่งประธานพรรคต่อจากเหมาเจ๋อตง อันหมายถึงการดำเนินการตามนโยบายและคำสั่งของเหมาเจ๋อตงอย่างเคร่งครัด[3] เขายังเสนอด้วยว่าแท้จริงแล้วแนวคิดของเหมาเจ๋อตงตั้งอยู่บนการ “แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง (seek truth from facts)”[4] ทั้งหมดนี้ปูทางไปสู่การประกาศใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 รวมทั้งการปรับเปลี่ยนท่าทีของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศอื่นๆ ดังที่เติ้งเสี่ยวผิงกล่าวกับคณะกรรมการกลางพรรคเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ว่า

 

ในยามที่พรรคคอมมิวนิสต์หนึ่งแสดงความเห็นต่อการกระทำของพรรคภราดาในต่างประเทศ พรรคดังกล่าวมักตัดสินพรรคอื่นด้วยรูปแบบที่เข้มงวดและตายตัว ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นแล้วว่าการทำเช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องจิตสำนึกทางการเมืองของประชาชน ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น และการรวมพลังของชนชั้น แล้วเราจะเอารูปแบบที่ตายตัวไปปรับใช้กับความแตกต่างเหล่านี้ได้อย่างไร ... กล่าวโดยสรุปก็คือ เราจะต้องเคารพวิถีทางที่พรรคและประชาชนในต่างประเทศจัดการกับเรื่องของพวกเขา และควรปล่อยให้พวกเขาแสวงหาทางเดินของตนเองและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ไม่ควรจะมีพรรคใดทำตัวเป็นพรรคปิตาธิปไตยและออกคำสั่งแก่พรรคอื่นๆ[5]

 
                 เลโอนิด เบรชเนฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียตช่วง ค.ศ. 1964-1982



อย่างไรก็ตาม เมื่อถึง ค.ศ. 1980 พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถปรับปรุงความสัมพันธ์ได้สำเร็จเฉพาะกับพรรคคอมมิวนิสต์ที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตเท่านั้น เช่น พรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียใน ค.ศ. 1978[6] และขบวนการยูโรคอมมิวนิสต์ (Eurocommunism) ใน ค.ศ. 1980[7] เป็นต้น โดยที่ยังไม่ได้ปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตและประเทศสังคมนิยมที่ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตซึ่งรวมถึงคิวบาแต่อย่างใด เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ยังตึงเครียดกันอยู่ในกรณีเวียดนามยึดครองกัมพูชาและสหภาพโซเวียตยึดครองอัฟกานิสถานซึ่งเพิ่งเกิดขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าแม้ในต้น ค.ศ. 1979 พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะแจกจ่ายเอกสารไปยังเจ้าหน้าที่ของพรรคโดยระบุว่าสหภาพโซเวียตนั้นไม่ใช่ “ลัทธิแก้” อีกต่อไปแล้ว แต่เอกสารดังกล่าวก็ยังคงระบุถึงภัยคุกคามที่เกิดจาก “ลัทธิสังคมจักรวรรดินิยม” หรือ “ลัทธิครองความเป็นใหญ่” ของสหภาพโซเวียต[8]

ความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตมาเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อมิคาอิล ซุสลอฟ (Mikhail Suslov) รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตและนักทฤษฎีคนสำคัญที่โต้เถียงกับจีนมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1982 ประกอบกับปัญหาทางเศรษฐกิจภายในประเทศและความอ่อนล้าทางการทหารได้ทำให้สหภาพโซเวียตเริ่มมีท่าทีประนีประนอมกับจีนมากขึ้น โดยในเดือนมีนาคมของปีนั้น เลโอนิด เบรชเนฟ เลขาธิการพรรคและประธานาธิบดีได้กล่าวสุนทรพจน์แสดงความประสงค์จะเริ่มต้นเจรจาปรับปรุงความสัมพันธ์กับจีนอีกครั้ง หลังจากที่หยุดชะงักไปเมื่อสิ้น ค.ศ. 1979 และนำไปสู่การเจรจาระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตในช่วง ค.ศ. 1982 - 1983 รวมกันถึง 3 ครั้ง

ถึงแม้ว่าจีนกับสหภาพโซเวียตจะยังต้องใช้เวลาจนถึง ค.ศ. 1989 จึงจะปรับความสัมพันธ์กันจนเป็นปกติได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็กล่าวได้ว่าช่วงตั้งแต่ ค.ศ. 1982 เป็นต้นมา บรรยากาศของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตในมุมมองของจีนนั้นดีขึ้นมาก ดูได้จากรายงานที่หูเย่าปัง (Hu Yaobang) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 12 เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1982 ซึ่งระบุว่า ภัยคุกคามต่อสันติภาพของโลกนั้นเกิดจากการแข่งขันกันระหว่างอภิมหาอำนาจ[9] ต่างจากรายงานของฮว่ากั๋วเฟิงที่เสนอต่อที่ประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 11 เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1977 ที่เน้นว่าสหภาพโซเวียตเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงกว่าสหรัฐอเมริกา[10] อีกทั้งคำว่า “ลัทธิแก้” และ “ลัทธิสังคมจักรวรรดินิยม” ซึ่งปรากฏในรัฐธรรมนูญของจีนฉบับ ค.ศ. 1975 และฉบับ ค.ศ. 1978 นั้นก็หายไปจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งประกาศใช้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 และในช่วงเวลาเดียวกัน ทางการจีนก็ไม่พูดถึง “ทฤษฎีสามโลก” ของเหมาเจ๋อตงที่เน้นการดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อสร้างแนวร่วมในการต่อต้านสหภาพโซเวียตอีกต่อไป[11] และแทนที่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “นโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ (independent foreign policy)” ซึ่งมีจุดเน้น 4ด้าน ได้แก่ สันติภาพ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ และการรวมประเทศให้เป็นเอกภาพ[12]

ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ การปรับเปลี่ยนนโยบายวิเทศสัมพันธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและการเริ่มต้นปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตได้ทำให้จีนหลัง ค.ศ. 1982 ไม่จำเป็นต้องนำคิวบามาเป็นเป้าโจมตีทางศีลธรรมเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียตเหมือนที่เคยเป็นมา หรือที่ Dittmer กล่าวว่า “การเจรจาปรับปรุงความสัมพันธ์ให้เป็นปกติระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตทำให้จีนไม่ต้องนำเรื่องการต่อต้านลัทธิครองความเป็นใหญ่มาเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นในการปรับปรุงความสัมพันธ์ให้เป็นปกติกับกับประเทศสังคมนิยมในโลกที่สามอีกต่อไป”[13] โดยในเดือนมกราคม ค.ศ. 1983 จีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลเอ็มพีแอลเอของแองโกลาที่คิวบาให้การสนับสนุน จึงเท่ากับลดความตึงเครียดระหว่างจีนกับคิวบาลงไปอีก และปูทางไปสู่การเริ่มต้นปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายในปีนั้น

--------------------------------------------------------------

[1] Lin Biao, “Long Live the Victory of People’s War (September 3, 1965),” available from Lin Biao Reference Archive https://www.marxists.org/reference/archive/lin-biao/1965/09/peoples_war/index.htm; accessed 8 March 2017.
[2] Peking Review, 6 September 1968, 12.
[3] Deng Xiaoping, Selected Works of Deng Xiaoping Volume II (1975-1982), available from https://dengxiaopingworks.wordpress.com/2013/02/25/the-two-whatevers-do-not-accord-with-marxism/; accessed 26 March 2017.
[4] Deng Xiaoping, Selected Works of Deng Xiaoping Volume II (1975-1982), available from https://dengxiaopingworks.wordpress.com/2013/02/25/hold-high-the-banner-of-mao-zedong-thought-and-adhere-to-the-principle-of-seeking-truth-from-facts/; accessed 26 March 2017.
[5] Deng Xiaoping, Selected Works of Deng Xiaoping Volume II (1975-1982), available from https://dengxiaopingworks.wordpress.com/2013/02/25/an-important-principle-for-handling-relations-between-fraternal-parties/; accessed 25 March 2017.
[6] ดูรายละเอียดใน สิทธิพล เครือรัฐติกาล. รายงานการวิจัยเรื่อง จีนกับยูโกสลาเวียสมัยติโต: อุดมการณ์และการสมานไมตรีในทศวรรษ 1970. กองทุนวิจัยวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2557.
[7] ขบวนการยูโรคอมมิวนิสต์ก่อตัวขึ้นในอิตาลี ฝรั่งเศส และสเปนมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 โดยมุ่งสร้างลัทธิสังคมนิยมผ่านระบบการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต่างจากลัทธิสังคมนิยมแบบสหภาพโซเวียตที่เน้นการใช้กำลังทำลายล้างลัทธิทุนนิยม และต่างจากประชาธิปไตยสังคมนิยม (social democracy) ที่มุ่งเอาข้อดีบางด้านของลัทธิสังคมนิยมมาปฏิรูปลัทธิทุนนิยม
[8] Dittmer, ibid., 37.
[9] Beijing Review, 13 September 1982, 31.
[10] Peking Review, 26 August 1977, 40.
[11] จีนไม่เคยประกาศยกเลิกทฤษฎีสามโลกอย่างเป็นทางการ แต่ต่อมาในหนังสือประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์จีนฉบับทางการที่ตีพิมพ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปีของพรรคใน ค.ศ. 1991 นั้นยอมรับว่าบางส่วนของทฤษฎีนี้ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ดูใน Hu Sheng (ed.), A Concise History of the Communist Party of China (Beijing: Foreign Languages Press, 1994), 694.
[12] Sanqiang Jian, Foreign Policy Restructuring as Adaptive Behavior: China’s Independent Foreign Policy 1982-1989 (New York: University Press of America, Inc, 1996), 219.
[13] Dittmer, ibid., 132.

ไม่มีความคิดเห็น: