นโยบายต่างประเทศของคิวบาหลังการปฏิวัติเมื่อ
ค.ศ. 1959 นั้นมีความโดดอยู่ประการหนึ่ง กล่าวคือ การเป็นประเทศขนาดเล็กที่ส่งกำลังทหารออกไปปฏิบัติการข้ามทวีปเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษ
1970 และ 1980 จนทำให้คิวบาเป็นประเทศที่ส่งทหารออกไปปฏิบัติการข้ามทวีปมากเป็นอันดับสองในยุคสงครามเย็น
โดยเป็นรองแต่เพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น[1]
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้นำคิวบามองว่าการส่งทหารไปช่วยเหลือขบวนการปฏิวัติในประเทศต่างๆ
จะเป็นการลดทอนอิทธิพลของสหรัฐฯ ในทางอ้อม รวมทั้งมองว่าตนเองมีพันธะที่จะต้องช่วยเหลือประเทศโลกที่สามมากกว่าประเทศสังคมนิยมอื่นๆ
ดังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า
เหล่าผู้นำคิวบาเชื่อว่าประเทศของพวกเขามีความเห็นอกเห็นใจเป็นพิเศษต่อโลกที่สามที่ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะลาตินอเมริกาเท่านั้น
และคิวบาจะต้องแสดงบทบาทที่พิเศษ
สหภาพโซเวียตและพันธมิตรในยุโรปตะวันออกล้วนแต่เป็นคนขาวและถือว่าร่ำรวยถ้าวัดโดยมาตรฐานของโลกที่สาม
ส่วนจีนก็แสดงความอหังการในฐานะมหาอำนาจที่กำลังทะยานขึ้นและไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมแอฟริกันและลาตินอเมริกัน
ในทางตรงกันข้าม คิวบาไม่ใช่คนขาว ยากจน ถูกคุกคามจากศัตรูที่ทรงอำนาจ
และยังมีวัฒนธรรมที่เป็นลาตินอเมริกันและแอฟริกัน คิวบาจึงเป็นลูกผสมที่มีลักษณะเฉพาะ
นั่นคือ การเป็นประเทศสังคมนิยมที่มีสำนึกของความเป็นโลกที่สาม[2]
อย่างไรก็ตาม
จีนไม่ได้เข้าใจพฤติกรรมของคิวบาในลักษณะดังกล่าว
ทั้งนี้เป็นเพราะปฏิบัติการทางการทหารของคิวบาในช่วงทศวรรษ 1970 นั้นเกิดขึ้นในบริบทสำคัญสองบริบท บริบทแรกคือการที่จีนมองสหภาพโซเวียตเป็นภัยคุกคามมากยิ่งขึ้นภายหลังกรณีเชโกสโลวะเกียเมื่อ
ค.ศ. 1968 และการปะทะกันตามแนวชายแดนจีน-โซเวียตในปีถัดมา โดยในการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 9 ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1969
หลินเปียวระบุว่าจีนต้องเตรียมตัวรับมือกับสงครามขนาดใหญ่ซึ่งรวมถึงสงครามนิวเคลียร์
และต้องแสวงหาความร่วมมือจากประเทศและประชาชนทั่วโลกเพื่อสร้าง
“แนวร่วมที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (the broadest possible
united front)” ในการเอาชนะลัทธิจักรวรรดินิยมและลัทธิแก้[3] หรือที่ต่อมาพัฒนาเป็น “ทฤษฎีสามโลก (Three Worlds Theory)” ซึ่งเสนอโดยเหมาเจ๋อตงใน
ค.ศ. 1974[4] บริบทถัดมาคือความสัมพันธ์ระหว่างคิวบากับสหภาพโซเวียตที่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นเมื่อเข้าสู่ทศวรรษ
1970 โดยในการประชุมกลุ่มประเทศในขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (The
Non - Aligned Movement) ณ ประเทศแอลจีเรียเมื่อ ค.ศ. 1973 ฟิเดล คาสโตรประณามการตีตราว่าสหภาพโซเวียตเป็นลัทธิจักรวรรดินิยมเหมือนสหรัฐอเมริกา[5] และต่อมาใน ค.ศ. 1975 สหภาพโซเวียตได้เชิญคิวบาเข้าร่วมการประชุมอินเตอร์คิท
(Interkit) อันเป็นเวทีประสานความร่วมมือระหว่างสหภาพโซเวียตกับประเทศสังคมนิยมอื่นๆ
ในการกำหนดท่าทีต่อจีน ด้วยเหตุนี้จีนจึงมองพฤติกรรมหรือจุดยืนของคิวบาในกรณีต่างๆ ในช่วงทศวรรษ 1970 ว่าเป็นแผนการของ “ลัทธิสังคมจักรวรรดินิยมโซเวียต (Soviet
social-imperialism)” ที่จะขยายอำนาจไปยังต่างประเทศ และจีนกับคิวบาก็มีจุดยืนที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจนในกรณีของแองโกลาและกัมพูชา
การ์ตูนล้อเลียนความสัมพันธ์ระหว่างคิวบากับสหภาพโซเวียต
ในนิตยสาร ปักกิ่งรีวิว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1982
ในต้นทศวรรษ
1970 แองโกลายังคงเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส โดยมีขบวนการที่กำลังทำสงครามต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมรวม
3 กลุ่ม ได้แก่ (1) ขบวนการประชาชนเพื่อการปลดปล่อยแองโกลา
หรือเอ็มพีแอลเอ (MPLA) ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1956 โดยเป็นขบวนการที่ประกาศตนว่าเดินตามลัทธิมากซ์อย่างชัดเจนและได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธและการฝึกจากทั้งจีน
สหภาพโซเวียต และคิวบา[6]
(2) แนวร่วมแห่งชาติเพื่อการปลดปล่อยแองโกลา หรือเอฟเอ็นแอลเอ
(FNLA) ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1962 โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรของสหรัฐฯ
อย่างประธานาธิบดีโมบูตู (Mobutu) แห่งซาอีร์[7]
ผู้ซึ่งหวังจะยึดครองแหล่งน้ำมันในแองโกลาและสร้างมหาอาณาจักรซาอีร์ (Greater Zaire)[8]
และ (3)
สหภาพแห่งชาติเพื่อการเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์ของแองโกลา หรือยูนิตา (UNITA)
ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1966 โดยแยกตัวออกมาจากเอฟเอ็นแอลเอ
และถึงแม้ว่ายูนิตาจะประกาศตนว่าได้รับแรงบันดาลใจการปฏิวัติของเหมาเจ๋อตง ทว่าจีนก็ให้ความช่วยเหลือแก่ยูนิตาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น[9]
แต่แล้วใน ค.ศ. 1973 เมื่อตระหนักว่าสหภาพโซเวียตกำลังมีอิทธิพลเหนือเอ็มพีแอลเอมากเกินไป
จีนจึงละทิ้งเอ็มพีแอลเอและหันมาสนับสนุนเอฟเอ็นแอลเอแทน หรือเท่ากับว่าจีนสนับสนุนขบวนการเดียวกับสหรัฐฯ
เพื่อคานอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในแองโกลา
แองโกลากลายเป็นปัญหามากขึ้นเมื่อเกิดการรัฐประหารในโปรตุเกสเมื่อเดือนมีนาคม
ค.ศ. 1974 และรัฐบาลใหม่ที่กรุงลิสบอนซึ่งไม่ต้องการแบกรับภาระด้านงบประมาณในการดูแลอาณานิคมได้สั่งให้ถอนเจ้าหน้าที่และทหารออกจากแองโกลา
การถอนตัวของเจ้าอาณานิคมยิ่งเปิดช่องให้ขบวนการเรียกร้องเอกราชทั้งหลายและประเทศที่อยู่เบื้องหลังเร่งช่วงชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
จีนส่งครูฝึก 112 คนไปยังซาอีร์เพื่อช่วยเหลือเอฟเอ็นแอลเอในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น
และยังส่งอาวุธไปให้อีก 450 ตันในต้นเดือนกันยายนของปีเดียวกัน[10]
ส่วนสหรัฐอเมริกาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1975 ก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่เอฟเอ็นแอลเอและยูนิตาเป็นมูลค่า
14 ล้านเหรียญสหรัฐ[11]
ขณะเดียวกันในต้น ค.ศ. 1975 สหภาพโซเวียตก็เร่งส่งอาวุธมากให้แก่เอ็มพีแอลเอ
ส่วนคิวบาก็ส่งที่ปรึกษาทางทหารมาช่วยเอ็มพีแอลเอวางแผนการรบและยังส่งเงินช่วยเหลือจำนวน
100,000 เหรียญสหรัฐมาให้ในเดือนสิงหาคมของปีนั้นอีกด้วย[12]
ในที่สุดแล้วเมื่อถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1975 เอ็มพีแอลเอซึ่งมีสหภาพโซเวียตและคิวบาให้การสนับสนุนก็สามารถยึดครองเมืองเอกของ
11 จังหวัดจาก 15 จังหวัดไว้ได้
หรือเท่ากับว่าเอฟเอ็นแอลเอซึ่งมีจีนและสหรัฐอเมริกาสนับสนุนนั้นกำลังตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในแองโกลา
แต่สถานการณ์กลับพลิกผันในต้นเดือนตุลาคมของปีนั้น เมื่อแอฟริกาใต้ซึ่งขณะนั้นยังคงยึดครองนามิเบียและไม่ต้องการให้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับตนทางทิศเหนืออย่างแองโกลาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียต
ได้ส่งกองกำลังราว 3,000 คน พร้อมเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน
และยานเกราะเข้ามาช่วยเอฟเอ็นแอลเอและยูนิตาจนสามารถยึดดินแดนที่อยู่ในการควบคุมของเอ็มพีแอลเอคืนมาได้เป็นจำนวนมาก
และมีทีท่าว่าจะสามารถยึดกรุงลูอันดาได้ในระยะเวลาไม่นานนัก
ทั้งจีนและคิวบาต่างมีปฏิกิริยาต่อการเข้าแทรกแซงของแอฟริกาใต้ในแองโกลาด้วยกันทั้งคู่
แต่เป็นไปในลักษณะที่ต่างกัน กล่าวคือ จีนตกใจมากกับการเข้าแทรกแซงดังกล่าว
เพราะเท่ากับว่าจีนกำลังกลายเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลของประเทศที่มีการเหยียดสีผิว (apartheid) ไปโดยปริยาย ซึ่งขัดกับจุดยืนที่จีนยึดมั่นมาตลอดเกี่ยวกับการปลดปล่อยอาณานิคมและการต่อต้านรัฐบาลของชนกลุ่มน้อยผิวขาวในทวีปแอฟริกา
และจะกระทบต่อสถานะและความน่าเชื่อถือของจีนในสายตาของประเทศจำนวนมากในทวีปดังกล่าวอย่างแน่นอน
ทำให้ในปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1975 จีนตัดสินใจถอนตัวออกจากความขัดแย้งในแองโกลา[13]
ขณะที่คิวบาก็ตกใจเช่นเดียวกัน ด้วยเกรงว่าการเข้าแทรกแซงดังกล่าวจะทำให้เอ็มพีแอลเอพ่ายแพ้และอำนาจการปกครองแองโกลาจะตกอยู่ในมือของกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
ทำให้ในต้นเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกันนั้น คิวบาตัดสินใจส่งทหารเข้าแทรกแซงในแองโกลาจนสามารถช่วยเอ็มพีแอลเอป้องกันกรุงลูอันดาเอาไว้ได้
ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายนของปีนั้นเอง
เอ็มพีแอลเอก็ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนแองโกลา (The People’s Republic
of Angola) และนับจากนั้นจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1991 คิวบาได้ส่งทหารไปปฏิบัติการคุ้มครองรัฐบาลเอ็มพีแอลเอเป็นจำนวนรวมถึง 375,000
คน[14]
แม้ว่าจีนจะถอนตัวออกไปจากแองโกลาก่อนการมาถึงของทหารคิวบาจนทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ปะทะกันทางทหารโดยตรง
แต่กรณีดังกล่าวก็กลายเป็นประเด็นที่ทั้งจีนและคิวบาใช้ในการกล่าวโจมตีซึ่งกันและกันในเวลาต่อมา
โดยในการให้สัมภาษณ์กับสื่อของฝรั่งเศสเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1977 ฟิเดล คาสโตรระบุว่าจีนกำลังดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ทรยศต่อลัทธิสากลนิยมและลัทธิมากซ์-เลนิน
และหนึ่งในตัวอย่างก็คือกรณีของแองโกลาที่จีนเข้าเป็นพวกเดียวกับสำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกา
(Central Intelligence Agency - CIA) ลัทธิอาณานิคมใหม่
และพวกเหยียดเชื้อชาติ[15]
ขณะที่ฝ่ายจีนก็ได้นำเรื่องการแทรกแซงทางทหารของคิวบาในแองโกลามาใช้ทำลายความน่าเชื่อถือในการเป็นผู้นำขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของคิวบา
ดังบทความใน ปักกิ่งรีวิว เมื่อ ค.ศ. 1978 ที่ตั้งคำถามว่า
หากคิวบาเข้าแทรกแซงทางทหารในแองโกลาโดยมีจุดประสงค์เพื่อการปลดปล่อยประชาชนจากลัทธิจักรวรรดินิยมจริง
เหตุใดคิวบาจึงไม่เข้าแทรกแซงเสียตั้งแต่เมื่อชาวแองโกลาต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมอย่างโปรตุเกส
แต่กลับเพิ่งเข้ามาแทรกแซงเมื่อโปรตุเกสละทิ้งอาณานิคมไปแล้ว และบทความดังกล่าวเปรียบเปรยว่าคิวบากำลังเป็นม้าโทรจัน
(Trojan horse) ให้กับสหภาพโซเวียตในการบ่อนทำลายขบวนการฝักใฝ่ฝ่ายใด[16]
นอกจากปัญหาแองโกลาแล้ว
กัมพูชาก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่นำไปสู่การกล่าวโจมตีกันอย่างรุนแรงระหว่างจีนกับคิวบา
ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1978 เวียดนามได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหภาพโซเวียต
และในวันที่ 25 ของเดือนถัดมา เวียดนามได้รุกรานกัมพูชาประชาธิปไตย
(Democratic Kampuchea) ที่ปกครองโดยพอลพต (Pol Pot) ผู้นำของกลุ่มเขมรแดงที่มีจีนให้การอุปถัมภ์
และได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (The People’s Republic of Kampuchea)
ที่นิยมเวียดนามขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 โดยมีเฮง
สัมริน (Heng Samrin) เป็นประมุข ซึ่งจีนมองว่าทั้งหมดเป็นแผนการของสหภาพโซเวียตที่จะขยายอำนาจเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเวียดนาม
ทำให้ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ของปีนั้น จีนตอบโต้การเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเวียดนามกับสหภาพโซเวียตด้วยการนำทหารจำนวน
170,000 คนบุกภาคเหนือของเวียดนามเป็นเวลา 4 สัปดาห์ก่อนที่จะถอนกำลังกลับ
หรือที่เรียกกันว่า สงครามจีนสั่งสอนเวียดนาม[17]
หลังจากที่จีนเริ่มบุกเวียดนามได้เพียง
4 วัน หรือตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 1979 ฟิเดล คาสโตรได้จัดการระดมมวลชนเพื่อแสดงพลังสนับสนุนเวียดนามขึ้นที่กรุงฮาวานา
โดยกล่าวว่าจีนกำลังตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกฟาสซิสต์ซึ่งทรยศต่อลัทธิสังคมนิยมและหันไปร่วมมือกับประเทศจักรวรรดินิยมอย่างสหรัฐอเมริกาในบุกเวียดนาม
ฟิเดล คาสโตรระบุด้วยว่าเติ้งเสี่ยวผิงเป็น “ไอ้โง่ (numbskull)” และเป็นเสมือนภาพล้อของฮิตเลอร์[18]
ต่อมาเมื่อคิวบาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำขบวนการฝักใฝ่ฝ่ายใดที่กรุงฮาวานาในวันที่
3 กันยายนของปีนั้น ฟิเดล คาสโตรได้กล่าวสุนทรพจน์โจมตีจีน
ความตอนหนึ่งระบุว่า
จีนมีสิทธิ์อะไรในการสั่งสอนเวียดนาม
บุกเข้าไปยังดินแดนของเขา ทำลายมั่งคั่งที่พวกเขามีอยู่ปานกลาง และสังหารประชาชนของเขาไปหลายพันคน
กลุ่มผู้ปกครองประเทศจีนสนับสนุนให้ปิโนเชต์โค่นล้มอัลเยนเด สนับสนุนให้แอฟริกาใต้รุกรานแองโกลา
สนับสนุนชาห์[19] สนับสนุนโซโมซา[20]
สนับสนุนและส่งอาวุธให้ซาดัต[21]
เห็นชอบกับการที่พวกแยงกี้ปิดล้อมคิวบา
ปกป้องการคงอยู่ขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ
และเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับสหรัฐอเมริกาและพลังปฏิกิริยาส่วนใหญ่ในยุโรปและในส่วนอื่นๆ
ของโลก คนกลุ่มนี้ไม่มีเกียรติหรือมีจุดยืนทางศีลธรรมที่จะไปสั่งสอนใครทั้งนั้น[22]
จีนได้ตอบโต้สุนทรพจน์ของฟิเดล
คาสโตรผ่านบทบรรณาธิการใน ประชาชนรายวัน เมื่อวันที่ 14 กันยายนของปีนั้น
โดยระบุว่าสหภาพโซเวียตคือผู้เบื้องหลังการกระทำของทั้งคิวบาและเวียดนาม
และถือเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ดังความตอนหนึ่งว่า
แง่ดีของการประชุมสุดยอด
ณ กรุงฮาวานาก็คือ สมาชิกจำนวนมากในขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของคิวบาและเวียดนามที่บอกว่าตนเอง
“ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” และได้ตระหนักถึงความเข้มแข็งของเอกภาพในการต่อสู้
เราคงพอทำนายได้ว่าคิวบาและเวียดนามที่มีสหภาพโซเวียตคอยกระตุ้นอยู่นั้นคงจะพยายามสร้างอุปสรรคทุกชนิดเพื่อขัดขวางเส้นทางของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิวบาซึ่งคงจะใช้อำนาจอย่างผิดๆ ในฐานะที่เป็น “ประธานปัจจุบัน”ในการผลักดันแผนการของสหภาพโซเวียตที่จะบ่อนทำลายหลักการพื้นฐานและทิศทางของขบวนการ[23]
ข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งก็คือ
ความขัดแย้งระหว่างจีนกับคิวบาที่กินเวลาต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960
นั้นไม่สัมพันธ์กับระดับของภัยคุกคามที่คิวบามีต่อจีนเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศโลกที่สามอย่างอินเดียและเวียดนามซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต
และเป็นศัตรูในสายตาของจีนในช่วงสองทศวรรษสุดท้ายของสงครามเย็น กล่าวคือ
ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียและระหว่างจีนกับเวียดนามนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
เพราะในแง่ของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
การที่อินเดียและเวียดนามตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตในต้นและปลายทศวรรษ 1970
ตามลำดับนั้นถือเป็นภัยคุกคามระยะประชิดต่อพรมแดนทางทิศตะวันตกและทิศใต้ของจีนอย่างชัดเจน
จึงไม่น่าแปลกที่จีนจะมองทั้งสองประเทศนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ร่วมมือกับสหภาพโซเวียตในการปิดล้อมจีน
และต้องรอให้มีการเริ่มต้นกระบวนการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตในต้นทศวรรษ
1980 เสียก่อน
การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียและเวียดนามจึงเกิดขึ้นตามมาในปลายทศวรรษเดียวกัน
ในทางตรงกันข้าม
คิวบามีที่ตั้งห่างไกลจากจีนมาก และถึงแม้จะส่งทหารไปปฏิบัติการในต่างประเทศ
แต่คิวบาก็ไม่มีปฏิบัติการในภูมิภาคที่รายล้อมพรมแดนของจีนเลย
อีกทั้งการแสดงจุดยืนของคิวบาที่เข้าข้างเวียดนามในการบุกกัมพูชาและเข้าข้างสหภาพโซเวียตในการบุกอัฟกานิสถานในปลายทศวรรษ
1970 ก็เป็นเพียงการสนับสนุนทางวาจาเท่านั้น
โดยมิได้มีการกระทำอื่นใดที่จะยกระดับภัยคุกคามในระยะประชิดต่อจีนให้ร้ายแรงขึ้นกว่าเดิม
หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า
ความขัดแย้งระหว่างจีนกับคิวบานั้นปรากฏออกมาในรูปของการโต้เถียง (polemics) เป็นส่วนใหญ่
ต่างจากกรณีของอินเดียและเวียดนามที่บั่นทอนความมั่นคงของจีนอย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จีนน่าจะมีโอกาสปรับปรุงความสัมพันธ์กับคิวบาได้ง่ายกว่าปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต
อินเดีย และเวียดนาม แต่เหตุใดในที่สุดแล้วเหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น
คำอธิบายที่อาจเป็นไปได้ก็คือ จีนไม่อาจริเริ่มปรับปรุงความสัมพันธ์กับคิวบาได้เนื่องจากต้องการใช้คิวบาเป็นเป้าโจมตีทางศีลธรรมเพื่อแสวงหาการยอมรับจากประเทศโลกที่สามในการต่อต้านสหภาพโซเวียต
ดังที่ Chih-yu Shih ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับศีลธรรม (morality)
ในนโยบายต่างประเทศของจีนยุคสงครามเย็นไว้ว่า
จีนไม่ได้มองโลกที่สามในเชิงเศรษฐกิจ
ด้วยเหตุนี้ จีนจึงไม่สามารถยอมรับประเทศด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งยินดีรับใช้รัฐที่แสวงหาความเป็นใหญ่
(hegemonic states) ให้มาเป็นพันธมิตรกับจีนได้
ตัวอย่างของประเทศเหล่านี้ที่จีนมองว่าเป็นผู้แปรพักตร์นั้นได้แก่ คิวบา อินเดีย
และเวียดนาม จีนจึงปฏิเสธที่จะสานสัมพันธ์กับประเทศเหล่านี้
เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าจีนกำลังทำลายความน่าเชื่อถือในการสร้างแนวร่วมเพื่อต่อต้านลัทธิครองความเป็นใหญ่[24]
ด้วยเหตุที่พฤติกรรมของสหภาพโซเวียตในสายตาของจีนยังคงแสดงออกถึงลัทธิครองความเป็นใหญ่ตลอดทศวรรษ
1970 ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาจึงยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษนั้น
และถึงแม้ว่าในเดือนกันยายน ค.ศ. 1979 จีนจะเริ่มเจรจาปรับปรุงความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตโดยขอให้ลดการวางกำลังทหารตามแนวชายแดนที่ติดกับจีนและในมองโกเลีย
รวมทั้งยุติความช่วยเหลือแก่เวียดนาม ขณะที่สหภาพโซเวียตขอให้จีนยุติการกล่าวโจมตีตนและขยายความร่วมมือทางการค้าและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม[25]
แต่การเจรจาก็ต้องยุติลงกลางคันเมื่อสหภาพโซเวียตรุกรานอัฟกานิสถานในเดือนธันวาคมของปีนั้น
โดยในการประชุมฉุกเฉินนัดพิเศษของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1980 จีนร่วมมือกับอีก 103 ประเทศลงมติเรียกร้องให้สหภาพโซเวียตถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานในทันที
ขณะที่คิวบาคัดค้าน[26]
ทั้งนี้มติจากการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 2 ของพรรคคอมมิวนิสต์คิวบาในเดือนธันวาคมของปีนั้นระบุว่า
คิวบายินดีที่ชาวอัฟกันได้รับการปลดปล่อยจากระบอบการปกครองที่เป็นทรราชและกึ่งศักดินา[27]
หลังการรุกรานอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตในปลาย
ค.ศ. 1979 ไปจนถึงต้น ค.ศ. 1982 สิ่งพิมพ์ของทางการจีนยังคงกล่าวโจมตีคิวบาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
โดยเมื่อคิวบาถอนตัวจากการลงสมัครเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนตุลาคม
ค.ศ. 1980 บทความใน ปักกิ่วรีวิว ก็แสดงความเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่คิวบาสนับสนุนการรุกรานอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตจนทำลายหลักการของการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
จึงสมควรแล้วที่คิวบาจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจนต้องถอนตัวไปในที่สุด[28]
จนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1982 บทความใน ปักกิ่งรีวิว
ก็ยังคงระบุว่าคิวบาเป็นเครื่องมือในการขยายอำนาจของสหภาพโซเวียต[29]
แต่แล้วในเดือนถัดมาเมื่อสหภาพโซเวียตแสดงท่าทีว่าต้องการปรับปรุงความสัมพันธ์กับจีน
การเจรจาระหว่างสองฝ่ายจึงเริ่มต้นอีกครั้งในเดือนตุลาคมของปีนั้น จนนำไปสู่การที่สหภาพโซเวียตเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศในส่วนที่กระทบต่อความมั่นคงของจีน
ทำให้การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาเกิดขึ้นได้ในลำดับถัดมา
อันจะได้กล่าวถึงต่อไป
-----------------------------------------------------------
[1] Piero Gleijeses, “Cuba and The Cold War, 1959-1980,”
in The Cambridge History of the Cold War, Volume II: Crisis and Détente,
eds. Melvyn P. Leffler and Odd Arne Westad (Cambridge: Cambridge University
Press, 2010), 327.
[2] Ibid, 341-342.
[3] Peking Review, 30 August 1969, 34.
[4] เหมาเจ๋อตงกล่าวถึงทฤษฎีสามโลกเป็นครั้งแรกในการสนทนากับเคนเนท
เดวิด คาอุนดา (Kenneth David Kaunda) ประธานาธิบดีแห่งแซมเบียเมื่อวันที่
22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1974 โดยระบุว่า
โลกที่หนึ่งประกอบไปด้วยสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตซึ่งล้วนเป็นประเทศจักรวรรดินิยม
ส่วนโลกที่สองประกอบไปด้วยญี่ปุ่น ประเทศในยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา
ขณะที่โลกที่สามประกอบไปด้วยจีนและประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกาทั้งหมด โดยจีนจะต้องสร้างแนวร่วมกับโลกที่สองและโลกที่สามเพื่อต่อสู้กับโลกที่หนึ่ง
[5] Domínguez, ibid., 104-105.
[6] Ian Taylor, China and Africa: Engagement and
Compromise (Oxon: Routledge, 2006), 76; Elizabeth Schmidt, Foreign
Intervention in Africa: From the Cold War to the War on Terror (New York:
Cambridge University Press, 2013), 96.
[7] ปัจจุบันคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
[8] Schmidt, ibid., 92-93.
[9] Taylor, ibid., 77.
[10] Ibid.,
78.
[11] Ibid., 80.
[12] Schmidt, ibid., 96.
[13] Ibid., 97.
[14] Choi et al., ibid., 79.
[15] “Interview to French Weekly Afrique-Asie,” in Castro
Speech Database http://lanic.utexas.edu/project/castro/db/1977/19770506.html;
accessed 22 March 2017.
[16] Peking Review, 9 June 1978, 21-22.
[17] เดิมเข้าใจกันว่าสงครามจีนสั่งสอนเวียดนามเป็นปฏิกิริยาตอบโต้การที่เวียดนามรุกรานกัมพูชาในปลายเดือนธันวาคม
ค.ศ. 1978 แต่การศึกษาในชั้นหลังได้พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่าจีนเริ่มวางแผนจะบุกเวียดนามตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน
ค.ศ. 1978
หลังจากทราบข่าวการลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างเวียดนามกับสหภาพโซเวียต
ดูรายละเอียดใน Xiaoming Zhang, Deng Xiaoping’s Long War: : The
Military Conflict between China and Vietnam, 1979-1991 (Chapel Hill, NC: University
of North Carolina Press, 2015).
[18] Fidel Castro, “Vietnam is not alone,” in Taber (ed.),
ibid., 167-179.
[19] ในทศวรรษ 1970 จีนมองอิหร่านภายใต้การปกครองในระบอบกษัตริย์ของชาห์
โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (Mohammad Reza Pahlavi) ในฐานะพันธมิตรเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต
โดยในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1978 ฮว่ากั๋วเฟิง (Hua
Guofeng) ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงเดินทางเยือนกรุงเตหะราน ทั้งๆ
ที่ขณะนั้นรัฐบาลของชาห์ควบคุมความวุ่นวายในประเทศไม่ได้แล้ว
และเกิดการปฏิวัติจนพระองค์ต้องสละราชสมบัติในเดือนมกราคมของปีถัดมา ดูใน John
W. Garver, China and Iran: Ancient Partners in a Post-Imperial World (Seattle,
WA: University of Washington Press, 2006), 54-56.
[20] ระบอบเผด็จการของตระกูลโซโมซา (Somoza)
ซึ่งปกครองของนิการากัวในช่วง ค.ศ. 1936 – 1979 นั้นเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในสงครามเย็น แต่นิการากัวในช่วง ค.ศ. 1965
– 1985 นั้นมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลของสาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวัน
ข้อกล่าวหาของฟิเดล คาสโตรที่ว่าจีนสนับสนุนระบอบโซโมซาจึงดูจะเป็นการเหมารวมเกินไปว่าพันธมิตรของสหรัฐฯ
ทั้งหมดในทศวรรษ 1970 คือพันธมิตรของจีน
[21] อันวาร์ ซาดัต (Anwar Sadat) ประธานาธิบดีอียิปต์ช่วง ค.ศ. 1970 – 1981 เป็นพันธมิตรสำคัญของทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน
ทั้งนี้ในทศวรรษ 1970 จีนมีพันธมิตรสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลางเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียตอยู่สองประเทศ
หรือที่มีนักวิชาการเรียกว่านโยบายเดินบนขาทั้งสองข้าง (walking on two legs) ข้างหนึ่งคืออันวาร์ ซาดัต อีกข้างหนึ่งคือชาห์แห่งอิหร่าน โปรดดู Yitzhak
Shichor, “In Search of Alternatives: China’s Middle East Policy after Sadat,” The
Australian Journal of Chinese Affairs, no. 8 (July 1982): 101-110.
[22] Fidel Castro, “Keynote to the Sixth Summit
Conference,” in Taber (ed.), ibid., 209.
[23] Beijing Review, 21 September 1979, 23.
[24] Chih-yu Shih, China’s Just World: The Morality of
Chinese Foreign Policy (London: Lynne Rienner Publishers, 1993), 186.
[25] Lowell Dittmer, Sino-Soviet Normalization and Its
International Implications, 1945-1990 (Seattle, WA: University of
Washington Press, 1992), 71.
[26] Beijing Review, 4 February 1980, 14.
[27] “Resolution on international policy,” in Taber (ed.),
ibid., 441.
[28] Beijing Review, 3 November 1980, 14.
[29] Beijing Review, 22 February 1982, 11-12.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น