จีนกับการสืบทอดอำนาจทางการเมืองในเกาหลีเหนือจากคิมอิลซุงสู่คิมจองอิล
ในช่วงเวลาเดียวกันกับวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือครั้งที่
1 ได้มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือเกิดขึ้น
นั่นคือ การปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งสุดท้ายของเติ้งเสี่ยวผิงเมื่อวันที่ 9
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994 (ก่อนถึงแก่อสัญกรรมในอีก
3 ปีต่อมา) และการถึงแก่อสัญกรรมของคิมอิลซุงเมื่อวันที่ 8
กรกฎาคมของปีเดียวกัน โดยมีคิมจองอิลผู้เป็นบุตรชายขึ้นสืบทอดอำนาจแทน
เติ้งเสี่ยวผิงกับคิมอิลซุงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมายาวนานหลายสิบปี ดังที่คิมอิลซุงเรียกเติ้งว่า
“พี่ชาย” รวมทั้งสอนให้คิมจองอิลเรียกเติ้งว่า “ลุง”[1]
และหลังจากที่นิโคไล เชาเชสกู (Nicholae Ceaucescu) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โรมาเนียหมดอำนาจและถูกสังหารไปเมื่อ
ค.ศ. 1989 คิมอิลซุงก็กลายเป็น “สหายเก่า”
ชาวต่างประเทศในโลกสังคมนิยมคนเดียวที่เหลืออยู่ของเติ้งเสี่ยวผิง การจากไปของผู้นำที่เป็นนักปฏิวัติทั้ง
2 คนในเวลาไล่เลี่ยกันส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือในระดับผู้นำนั้นมีความสนิทสนมกันน้อยลง
จีนรับทราบมาเป็นเวลาเกือบ
2 ทศวรรษแล้วว่าคิมจองอิลจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากบิดา เพราะคิมอิลซุงได้เคยแจ้งให้เหมาเจ๋อตงทราบระหว่างเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อ
ค.ศ. 1975 ซึ่งเหมาแสดงความไม่เห็นด้วยโดยระบุว่าไม่เคยมีการสืบทอดอำนาจทางสายโลหิตในโลกสังคมนิยม
และการทำเช่นนี้ขัดกับหลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์[2] แต่คิมอิลซุงก็ยังคงเดินหน้าตามแผนการของตนต่อไป
โดยในการประชุมสมัชชาพรรคกรรมกรเกาหลีครั้งที่ 6 เมื่อเดือนตุลาคม
ค.ศ. 1980 คิมจองอิลในวัย 38 ปีได้รับเลือกให้เป็นกรรมการกรมการเมืองลำดับที่
4 และเมื่อถึง ค.ศ. 1982 ก็ได้รับการยกย่องเป็น
“วีรบุรุษแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี” อีกทั้งยังออกหนังสือ ว่าด้วยความคิดจูเช่
(On the Juche Idea) ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศว่าตนเป็นตัวแทนทางความคิดของบิดา[3] การสร้างลัทธิบูชาบุคคล
(cult of personality) ให้กับคิมจองอิลนั้นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความคิดของเติ้งเสี่ยวผิงผู้ตระหนักถึงหายนะอันใหญ่หลวงที่เกิดจากลัทธิดังกล่าวในจีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม
แต่เติ้งก็มิได้คัดค้านเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ทั้งนี้เป็นเพราะเขาเคยวางหลักการไว้เมื่อ
ค.ศ. 1980 ว่าประเทศสังคมนิยมทั้งหลายมีสิทธิที่จะปรับลัทธิมากซ์-เลนินให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของแต่ละประเทศ
และจีนจะไม่เป็นผู้ตัดสินความถูกผิดของลัทธิสังคมนิยมในประเทศอื่นๆ[4]
อีกทั้งในขณะนั้นจีนยังคงมีความขัดแย้งกับสหภาพโซเวียต ซึ่งหากจีนสร้างความไม่พอใจให้กับคิมอิลซุง
เกาหลีเหนือก็อาจหันไปพึ่งพาสหภาพโซเวียตมากยิ่งขึ้น จีนจึงต้อนรับการมาเยือนของคิมจองอิลในเดือนมิถุนายน
ค.ศ. 1983 อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีผู้นำระดับสูงอย่างเติ้งเสี่ยวผิง
หูเย่าปัง หลี่เซียนเนี่ยน และจ้าวจื่อหยางออกมาต้อนรับ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองสถานะทายาททางการเมืองของคิมจองอิลไปโดยปริยาย
แต่การเยือนในครั้งนั้นมิได้ทำให้ผู้นำของจีนมีความสนิทสนมกับเขาเฉกเช่นที่มีกับคิมอิลซุง
และเป็นที่น่าสังเกตว่าคิมจองอิลมิได้เดินทางเยือนจีนอีกเลยจนกระทั่ง ค.ศ. 2000
ต่างจากบิดาของเขาที่เดินทางเยือนจีนเกือบทุกปี
เจียงเจ๋อหมินพบปะกับคิมอิลซุงในการเยือนกรุงเปียงยาง ค.ศ. 1990
ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่คิมอิลซุงถึงแก่อสัญกรรม
คิมจองอิลได้ส่งผู้แทนเดินทางมายังกรุงปักกิ่งอย่างเร่งด่วนเพื่อดูท่าทีของจีน
ผู้แทนของเขาได้พบกับเจียงเจ๋อหมิน หลี่เผิง และเฉียวสือ (Qiao Shi ประธานสภาผู้แทนประชาชน) ซึ่งทั้ง 3 คนได้ให้การรับรองคิมจองอิลเป็นผู้นำคนใหม่ของเกาหลีเหนือ
ดังปรากฏในรายงานข่าวของทางการจีนเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม
ค.ศ. 1994 ความว่า
สหายคิมอิลซุงเป็นผู้ที่รักษาและส่งเสริมมิตรภาพที่สืบทอดกันมาระหว่างประชาชนจีนกับประชาชนเกาหลีตลอดมา
เขารักษาไว้ซึ่งมิตรภาพกับบรรดานักปฏิวัติรุ่นอาวุโสของจีนและพยายามอย่างไม่ลดละที่จะให้
2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรและร่วมมือกัน แม้ว่าสหายคิมอิลซุงจะจากไปแล้ว
แต่ภาพลักษณ์อันสง่างามของเขาจะยังคงอยู่ในจิตใจของประชาชนเกาหลีเสมอ ประชาชนจีนจะจดจำเขาไว้ด้วยเช่นกัน
เรามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าประชาชนเกาหลีจะเดินตามแนวทางที่เขาวางเอาไว้
รวมกันเป็นหนึ่งภายใต้พรรคกรรมกรเกาหลีที่นำโดยสหายคิมจองอิล และพยายามสร้างประเทศให้เจริญก้าวหน้าเพื่อสันติภาพอันยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี[5]
มีรายงานข่าวว่าเติ้งเสี่ยวผิงรู้สึกไม่พอใจท่าทีของผู้นำทั้ง
3 คนให้การสนับสนุนคิมจองอิลอย่างเปิดเผย เพราะการทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเลือกข้างทางการเมืองและแทรกแซงกิจการภายในของเกาหลีเหนือ
ดังที่เติ้งบอกกับเจียงเจ๋อหมินว่า
เราได้แต่เพียงหวังว่าคิมจองอิลจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้นำระดับสูงคนอื่นๆ
ภายในพรรคกรรมกรเกาหลี เพื่อที่สถานการณ์จะได้มั่นคงและคิมจองอิลจะได้รับภาระหน้าที่อย่างราบรื่น
แต่มีประเด็นหนึ่งที่เราต้องบอกให้สหายเกาหลีทราบอย่างชัดเจน นั่นคือ คิมจองอิลจะได้รับการสนับสนุนจากผู้นำส่วนใหญ่ของพรรคกรรมกรเกาหลีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
เราจะไม่กดดันฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของคิมจองอิลที่อาจมีอยู่ในพรรคกรรมกรเกาหลี
เราจะไม่แทรกแซงกิจการภายในของเกาหลีเหนือ[6]
แต่ในที่สุด
การสืบทอดอำนาจทางการเมืองในเกาหลีเหนือก็เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้นำรุ่นอาวุโสที่เป็นนักปฏิวัติอย่างโอจินยูได้เสียชีวิตลงในเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ. 1995 ตามด้วยโชกวาง (Ch’oe Kwang) ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 และคณะกรรมการกลางพรรคกรรมกรเกาหลีได้เลือกให้คิมจองอิลดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคในวันที่
8 ตุลาคม ค.ศ. 1997 และเจียงเจ๋อหมินก็ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีไปยังคิมจองอิลในวันเดียวกัน[7]
--------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น