ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ
ในกลางทศวรรษ
1990
แม้จีนจะให้ความเห็นชอบต่อคิมจองอิลในฐานะผู้นำคนใหม่ของเกาหลีเหนือ
แต่ก็กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือในกลางทศวรรษ 1990 นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
เติ้งเสี่ยวผิงไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกเลยหลังเทศกาลตรุษจีน ค.ศ. 1994 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในอีก 3 ปีถัดมา การจากไปของทั้งคิมอิลซุงและเติ้งเสี่ยวผิงที่เป็นนักปฏิวัติในเวลาห่างกันไม่กี่ปีส่งผลให้การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือตกอยู่ในมือของผู้นำรุ่นใหม่ที่ไม่สนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อน
และยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลในทางลบต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทัศนะของคิมจองอิลที่มีต่อจีน การถอนตัวของเกาหลีเหนือออกจากคณะกรรมาธิการสงบศึกทางทหาร
ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับไต้หวัน และการลี้ภัยของฮวางชางย็อป
ทัศนะของคิมจองอิลที่มีต่อจีน
คิมจองอิลเคยใช้ชีวิตอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแต่เพียงช่วงสั้นๆ
ระหว่างสงครามเกาหลีในต้นทศวรรษ 1950 ต่างจากบิดาของเขาที่ได้รับการศึกษาและอาศัยอยู่ในจีนเป็นระยะเวลานานจนพูดภาษาจีนได้
และถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการรับรองสถานะทายาททางการเมืองจากจีนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1983 แต่การเยือนกรุงปักกิ่งในปีนั้นก็มิได้ทำให้เขากับผู้นำของจีนมีความสนิทสนมกันเหมือนอย่างคิมอิลซุง
รวมทั้งเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าคิมจองอิลมิได้เดินทางเยือนจีนอีกเลยจนกระทั่ง ค.ศ.
2000 นอกจากนี้ เขายังมองนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้งเสี่ยวผิงในทางลบ
และเกาหลีเหนือในยุคของเขาก็ยังยึดมั่นในปรัชญาจูเชอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ดังที่เขาเขียนบทความเรื่อง “ลัทธิสังคมนิยมเป็นวิทยาศาสตร์ (Socialism is
a Science)” ลงในหนังสือพิมพ์ ข่าวกรรมกร (Radong
Sinmun) ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคกรรมกรเกาหลี เมื่อวันที่ 1
พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 ความตอนหนึ่งว่า
ในสังคมแบบสังคมนิยมนั้น
การเปลี่ยนแปลงมนุษย์หรือการปลุกปั้นทางอุดมการณ์เป็นเรื่องที่ต้องมาก่อนและสำคัญยิ่งกว่าการสร้างเงื่อนไขทางวัตถุและทางเศรษฐกิจให้แก่ลัทธิสังคมนิยม
เราจะขับเคลื่อนพลังแห่งการปฏิวัติและสร้างลัทธิสังคมนิยมให้สำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงมนุษย์เสียก่อน
ถ้าหากการปลุกปั้นทางอุดมการณ์ในหมู่มวลชนกลายเป็นเรื่องลำดับรองและไม่มีการทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับพลังขับเคลื่อนการปฏิวัติ
แต่กลับไปให้ความสำคัญกับเงื่อนไขทางวัตถุและทางเศรษฐกิจที่เป็นวัตถุวิสัยโดยมุ่งไปที่การสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว
การสร้างลัทธิสังคมนิยมในภาพรวมก็จะเป็นไปอย่างไม่ถูกต้องและการสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจจะประสบกับความชะงักงัน
การทำเช่นนี้ปรากฏให้เห็นในบางประเทศที่เคยสร้างลัทธิสังคมนิยมมาก่อน
ผู้ที่เป็นกบฏต่อลัทธิสังคมนิยมเหล่านี้ได้ดำเนินการ “ปฏิรูป”
และกระทำการแบบปฏิปักษ์ปฏิวัติ ซึ่งเท่ากับทำลายระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมไปในตัว[1]
การถอนตัวของเกาหลีเหนือออกจากคณะกรรมาธิการสงบศึกทางทหาร
ข้อตกลงสงบศึกในสงครามเกาหลีเมื่อ
ค.ศ. 1953 กำหนดตั้งคณะกรรมาธิการขึ้น 2 ชุด ได้แก่ (1) คณะกรรมาธิการสงบศึกทางทหาร (Military
Armistice Commission – MAC) อันประกอบไปด้วยผู้แทนจากจีน
เกาหลีเหนือ และสหประชาชาติ และ (2) คณะกรรมาธิการอำนวยการของชาติที่เป็นกลาง
(Neutral Nations Supervisory Commission – NNSC) อันประกอบไปด้วยผู้แทนจากประเทศโลกสังคมนิยมอย่างเชโกสโลวะเกียและโปแลนด์
กับผู้แทนประเทศจากประเทศโลกเสรีที่เป็นกลางอย่างสวิตเซอร์แลนด์และสวีเดน
ซึ่งคณะกรรมาธิการเหล่านี้ทำหน้าที่ดูแลให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงสงบศึก
แต่เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1990 การสิ้นสุดของสงครามเย็นและการล่มสลายของโลกสังคมนิยมทำให้เกาหลีเหนือซึ่งไม่มั่นใจว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นหลักประกันความมั่นคงของตนได้อีกต่อไปนั้นเรียกร้องที่จะทำข้อตกลงสันติภาพกับสหรัฐอเมริกา
โดยใน ค.ศ. 1993 เกาหลีเหนือได้ขับไล่ผู้แทนจากสาธารณรัฐเช็กออกจากคณะกรรมาธิการอำนวยการของชาติที่เป็นกลางโดยอ้างว่าไม่มีประเทศเชโกสโลวะเกียอีกต่อไปแล้ว[2]
ต่อมาในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 1994 เกาหลีเหนือได้ถอนผู้แทนของตนออกจากคณะกรรมาธิการสงบศึกทางทหารเช่นกัน
รวมทั้งร้องขอให้จีนถอนตัวด้วย ทำให้ในวันที่ 2 กันยายนของปีนั้น
ถังเจียเสวียน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนประกาศว่าการถอนตัวของเกาหลีเหนือทำให้คณะกรรมาธิการสงบศึกทางทหารไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้อีกต่อไป
จีนจึงตัดสินใจถอนตัวออกจากคณะกรรมาธิการดังกล่าวและเห็นด้วยกับเกาหลีเหนือที่จะให้มีการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี[3]
อย่างไรก็ตาม
เกาหลีเหนือมีจุดยืนที่แตกต่างไปจากจีนในการทำข้อตกลงสันติภาพ กล่าวคือ
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1995 เกาหลีเหนือเสนอขอเจรจาสันติภาพแบบทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจีนได้คัดค้านโดยระบุว่าข้อเสนอของเกาหลีเหนือนั้น “เป็นไปไม่ได้
ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และไม่มีเหตุผล”
เนื่องจากขาดการมีส่วนร่วมของเกาหลีใต้[4]
(อีกทั้งยังเป็นการกีดกันจีนออกจากการตัดสินใจที่จะมีผลต่อคาบสมุทรเกาหลีซึ่งเป็นผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน
– ผู้วิจัย) ซึ่งจุดยืนของจีนสอดคล้องกับจุดยืนของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้นเมื่อประธานาธิบดีบิล คลินตัน และประธานาธิบดีคิมยังซัม (Kim Young
Sam) ของเกาหลีใต้ได้ประชุมสุดยอดกันในเดือนเมษายน ค.ศ. 1996
และเสนอให้มีการประชุม 4 ฝ่าย (four-party
talks) ระหว่างสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ
และจีนเพื่อทำข้อตกลงสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี
จีนก็แสดงความเห็นชอบจนนำไปสู่การจัดประชุมครั้งแรก ณ นครเจนีวาเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1997
แต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากนักเนื่องจากเกาหลีเหนือยังคงเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาถอนทหารออกไปจากเกาหลีใต้ก่อนการทำข้อตกลงสันติภาพ
ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สหรัฐอเมริกาไม่อาจยอมได้ ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1998 เกาหลีเหนือได้ท้าทายสหรัฐอเมริกาด้วยการทดลองยิงขีปนาวุธแทโปดอง
(Taepodong I) ข้ามหมู่เกาะญี่ปุ่นไปตกในมหาสมุทรแปซิฟิก
ซึ่งเกาหลีเหนือมิได้แจ้งให้จีนทราบล่วงหน้า
และเมื่อทางการจีนขอให้เกาหลีเหนือชี้แจงเรื่องนี้
เกาหลีเหนือก็ตอบกลับไปว่าแต่ละประเทศมีสิทธิในการพัฒนาโครงการของตนเองโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก[5]
---------------------------------------------------------------
[2] เชโกสโลวะเกียแยกเป็น 2 ประเทศคือ สาธารณรัฐเช็ก และสาธารณรัฐสโลวัก เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1992 และต่อมาในต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1995
เกาหลีเหนือก็ได้ขับไล่ผู้แทนจากโปแลนด์ออกไปเช่นกัน
นัยว่าไม่พอใจที่รัฐบาลโปแลนด์หลังยุคสังคมนิยมต้องการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ
(North Atlantic Treaty Organization – NATO)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น