ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับไต้หวัน
แม้ว่าการที่จีนสนับสนุนให้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติพร้อมกันใน
ค.ศ. 1991 และสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้ใน
ค.ศ. 1992 จะเป็นไปเพื่อสนองผลประโยชน์ของจีนในยุคปฏิรูปและเปิดประเทศ
หากแต่การตัดสินใจดังกล่าวซึ่งสะท้อนนโยบายสองเกาหลีของจีนนั้นทำให้จีนกังวลว่าจะนำไปสู่ข้ออ้างของไต้หวันในการมีสองจีน
(Two Chinas) ดังนั้นเมื่อทางการจีนออก สมุดปกขาวว่าด้วยปัญหาไต้หวันและการรวมชาติของจีน
ใน ค.ศ. 1993 จึงได้อธิบายว่ากรณีของไต้หวันนั้นแตกต่างไปจากเกาหลี
กล่าวคือ
ควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่าปัญหาไต้หวันเป็นเรื่องภายในของจีนอย่างแท้จริง
และไม่อาจเทียบได้กับกรณีของเยอรมนีและเกาหลีอันเป็นผลจากข้อตกลงระหว่างประเทศเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่
2 ดังนั้นจึงไม่ควรนำปัญหาไต้หวันไปวางไว้ในระนาบเดียวกับสถานการณ์ในเยอรมนีและเกาหลี
รัฐบาลจีนคัดค้านตลอดมาที่จะนำสูตรของเยอรมนีหรือเกาหลีมาใช้กับไต้หวัน ปัญหาไต้หวันควรได้รับการแก้ไขโดยการเจรจาแบบทวิภาคีภายใต้กรอบจีนเดียว[1]
นโยบายสองเกาหลีของจีนส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งเกาหลีเหนือและไต้หวัน
กล่าวคือ เกาหลีเหนือได้สูญเสียพันธมิตรที่เคยให้การอุปถัมภ์แก่ตนมาเป็นเวลากว่า 4
ทศวรรษ ขณะที่ไต้หวันต้องยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางการทูตแห่งสุดท้ายของไต้หวันในทวีปเอเชีย
จึงเป็นเหตุให้เกาหลีเหนือกับไต้หวันหันมาร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับจีน
โดยหลังจากที่จีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้ได้เพียง 3 วัน ไต้หวันก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินทางผ่านฮ่องกงและกรุงปักกิ่งเพื่อไปติดต่อกับเกาหลีเหนือ
และนำไปสู่การพบปะกันระหว่างผู้แทนของทั้ง 2 ฝ่าย ณ
ประเทศสิงคโปร์จนมีการตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างกัน ณ
กรุงเปียงยางและกรุงไทเปในปีนั้น ต่อมาในวันที่ 28 กรกฎาคม
ค.ศ. 1993 เรือสินค้าของเกาหลีเหนือได้เข้ามาเทียบท่าบนเกาะไต้หวันเป็นครั้งแรก[2]
และในต้น ค.ศ. 1995 ซึ่งเกาหลีใต้กับไต้หวันกำลังแข่งขันกันเสนอตัวเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชียนเกมส์
ค.ศ. 2002 อยู่นั้น เกาหลีเหนือได้สนับสนุนเมืองเกาสุง (Kaohsiung)
ของไต้หวัน ซึ่งเท่ากับท้าทายจีนที่สนับสนุนเมืองปูซาน (Busan)
ของเกาหลีใต้[3]
การก่อตัวของความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับไต้หวันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบไต้หวันกำลังเสื่อมลง
อันเป็นผลมาจากกระบวนการเป็นประชาธิปไตยของไต้หวันและ “การทูตวันหยุด” (vacation
diplomacy) ของประธานาธิบดีหลี่เติ้งฮุย (Lee Teng-hui) ที่ต้องการขยายพื้นที่ทางการทูตของไต้หวันในเวทีโลกจนทำให้จีนต้องซ้อมรบเพื่อข่มขู่ระหว่างที่เขาหาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่
2 เมื่อ ค.ศ. 1996 และแล้วประเด็นเกี่ยวกับไต้หวันที่ส่งผลกระทบทางลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือก็เกิดขึ้นในวันที่
11 มกราคม ค.ศ. 1997 เมื่อเกาหลีเหนือลงนามในข้อตกลงกับบริษัทไถเตี้ยน
(Taipower) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของไต้หวันอันมีใจความว่า
เกาหลีเหนืออนุญาตให้ไต้หวันนำกากนิวเคลียร์จำนวน 60,000 บาร์เรลมาทิ้งในเกาหลีเหนือได้โดยเสียเงินให้แก่เกาหลีเหนือบาร์เรลละ
1,135 เหรียญสหรัฐ[4]
ทำให้เสิ่นกั๋วฟ่าง (Shen Guofang) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนออกมาแถลงว่าการกระทำของไต้หวันในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีนและเป็นการจงใจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ[5]
ซึ่งเท่ากับจีนตำหนิเกาหลีเหนือในทางอ้อม
การลี้ภัยของฮวางจางย็อป
ฮวางจางย็อป (Hwang
Jang Yop ค.ศ. 1923 - 2010) เป็นผู้นำระดับสูงของเกาหลีเหนือ
เคยดำรงตำแหน่งประธานสภาประชาชนสูงสุดช่วง ค.ศ. 1972-1983 และนับจาก
ค.ศ. 1993 เป็นต้นมา เขามีตำแหน่งเป็นเลขานุการพรรคกรรมกรเกาหลีที่ดูแลด้านการต่างประเทศ
และประธานคณะกรรมการต่างประเทศของสภาประชาชนสูงสุด
เขามีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ปรัชญาจูเชของคิมอิลซุงในต่างประเทศ ดังที่ใน ค.ศ. 1988
เขาได้เป็นประธานสถาบันวิจัยอุดมการณ์จูเช (Juche Ideology
Research Institute) และใน ค.ศ. 1995 เป็นผู้อำนวยการมูลนิธิอุดมการณ์จูเชนานาชาติ
(International Juche Ideology Foundation) แต่หลังจากคิมอิลซุงถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างฮวางจางย็อปกับผู้นำคนใหม่อย่างคิมจองอิลก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่น
โดยฮวางจางย็อปมองว่าคิมจองอิลใช้ปรัชญาจูเชเพื่อสร้างอำนาจกดขี่ประชาชน
ขณะเดียวกันคิมจองอิลก็สังเกตเห็นว่าฮวางจางย็อปมิได้สนับสนุนปรัชญาจูเชอย่างแข็งขันเหมือนในอดีต
จนคิมจองอิลเคยถึงกับบังคับให้ฮวางจางย็อปยอมรับความผิดในข้อนี้เมื่อเดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1996[6] ฮวางจางย็อปจึงเริ่มปรึกษากับคิมด็อกฮุง
(Kim Dok Hong) คนสนิทของเขาเพื่อวางแผนหลบหนีจากเกาหลีเหนือ
และโอกาสที่เหมาะสมก็มาถึงเมื่อทั้งคู่เดินทางไปร่วมงานสัมมนาว่าด้วยปรัชญาจูเช ณ
กรุงโตเกียวตั้งแต่วันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997[7] และต้องมาแวะพัก ณ กรุงปักกิ่งก่อนเดินทางกลับประเทศ พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้เข้าไปขอลี้ภัย
ณ สถานทูตเกาหลีใต้ในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ของปีนั้น
การลี้ภัยของฮวางจางย็อปผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ปรัชญาจูเชส่งผลกระทบต่อความชอบธรรมของพรรคกรรมกรเกาหลีเป็นอย่างยิ่ง
เกาหลีเหนือจึงเรียกร้องให้จีนส่งตัวเขากลับประเทศโดยอ้างว่าเขาถูกเกาหลีใต้ลักพาตัว
ดังรายงานของสำนักข่าวกลางเกาหลี (Korean Central News Agency – KCNA) ที่อ้างคำพูดของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือว่า
ถ้าฮวางจางย็อปอยู่ใน ‘สถานทูต’
เกาหลีใต้ในกรุงปักกิ่งจริง แสดงว่าเขาถูกศัตรูลักพาตัวไป
เรากำลังหาข้อมูลจากฝ่ายจีนผ่านช่องทางต่างๆ
ถ้าเป็นที่กระจ่างชัดว่าเจ้าหน้าที่ของเกาหลีใต้ลักพาตัวเขาไปโดยอ้างว่าเป็นการขอ ‘ลี้ภัย’ เราจะถือว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและจะต้องดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างเหมาะสม
เราหวังว่าฝ่ายจีนจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมในกรณีนี้[8]
อย่างไรก็ตาม
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนกับเกาหลีใต้
และภาพลักษณ์ทางลบของเกาหลีเหนือในสายตาของนานาชาติทำให้จีนไม่อาจทำตามข้อเรียกร้องของเกาหลีเหนือได้
อีกทั้งยังนำกำลังตำรวจเข้าไปรักษาความปลอดภัยรอบสถานทูตเกาหลีใต้เพื่อป้องกันมิให้เกาหลีเหนือส่งคนบุกเข้ามานำตัวฮวางจางย็อปกลับประเทศอีกด้วย
ถังเจียเสวียนบอกกับชูจางจุน (Chu Chang Joon) ทูตเกาหลีเหนือประจำกรุงปักกิ่งว่า
เมื่อพิจารณาจากความรู้สึกของนานาชาติและความถูกต้องแล้ว
จีนไม่อาจส่งตัวฮวางจางย็อปกลับไปให้เกาหลีเหนือได้[9] คำปฏิเสธของจีนทำให้ในวันที่
17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือต้องออกแถลงการณ์ยินยอมให้ฮวางจางย็อปเดินทางไปยังเกาหลีใต้ได้
ทางการจีนจึงรักษาหน้าของเกาหลีเหนือด้วยการให้เขาเดินทางไปแวะพักที่ประเทศที่ 3
คือฟิลิปปินส์ ก่อนเดินทางไปยังกรุงโซลในที่สุด
---------------------------------------
[5] “Beijing Attacks Taiwan-N. Korea Deal on Nuclear Waste,” China
News Digest, 3 February 1997, available from http://www.cnd.org/CND-Global/CND-Global.97.1st/CND-Global.97-02-02.html,
accessed 9 September 2013; “Battle over Nuclear Waste,” Asiaweek, 14 February
1997, available from http://edition.cnn.com/ASIANOW/asiaweek/97/0214/nat4.html,
accessed 9 September 2013.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น