ชาวจีนเดินทางไปเป็นแรงงานในภูมิภาคลาตินอเมริกามาเป็นเวลานานแล้ว
อย่างน้อยตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อสเปนซึ่งเข้ามาตั้งอาณานิคมในภูมิภาคดังกล่าวได้ใช้เมืองอาคาปัลโก
(Acapulco) ของเม็กซิโกเป็นเมืองท่าหลักในการทำการค้ากับจีนผ่านเมืองมะนิลาของฟิลิปปินส์ตั้งแต่
ค.ศ. 1565 และในบันทึกของอเล็กซานแดอร์ วอน ฮัมโบลท์ (Alexander
von Humboldt) นักภูมิศาสตร์ชาวปรัสเซียซึ่งเดินทางสำรวจภูมิภาคลาตินอเมริกาในปลายคริสต์ศตวรรษที่
18 ได้ระบุว่าพบแรงงานชาวจีนในเกาะคิวบา[1]
แต่ก็ยังมีจำนวนน้อยมากจนกระทั่งในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อการผลิตน้ำตาลในคิวบาเฟื่องฟูจนกลายเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก
และแรงงานทาสผิวดำที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ[2]
สเปนจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าแรงงานจากจีนอย่างจริงจัง
การมาถึงขนานใหญ่ของชาวจีนเริ่มต้นใน
ค.ศ. 1847 เมื่อแรงงานจากเมืองเซี่ยเหมินในมณฑลฝูเจี้ยนจำนวน
571 คนเดินทางมายังคิวบา นับจากนั้นจนถึง ค.ศ. 1874 ก็มีการแรงงานจีนเดินทางมายังคิวบาจำนวนรวมประมาณ 126,000 คน[3]
ความสำคัญของแรงงานจีนต่อเศรษฐกิจของคิวบานั้นดูได้จากในทศวรรษ 1870 ที่การผลิตน้ำตาลต้องอาศัยแรงงานจีนถึงร้อยละ 40 ของแรงงานทั้งหมด
และจำนวนชาวจีนคิดเป็นร้อยละ 3 ของจำนวนประชากรคิวบาทั้งหมดในขณะนั้น[4]
ขณะเดียวกันก็มีชาวจีนบางส่วนที่ผันตนเองจากการเป็นแรงงานมาประกอบอาชีพส่วนตัวจนเริ่มมีชุมชนจีนชานเมืองฮาวานาในทศวรรษ
1860 พวกเขาเหล่านี้ประกอบกิจการร้านอาหาร ร้านขายของชำ
ร้านขายผักและผลไม้ ร้านขายสินค้าหัตถกรรม ร้านขายยาจีน
รวมทั้งยังมีการตั้งสมาคมและเริ่มมีหนังสือพิมพ์จีนเมื่อ ค.ศ. 1867 อย่างไรก็ตาม
อิทธิพลทางเศรษฐกิจของชาวจีนในคิวบามีอยู่น้อยเมื่อเทียบกับดินแดนใกล้เคียงอย่างจาเมกาและตรินิแดด
เพราะพวกเขาเป็นเพียงผู้ประกอบการรายย่อยและไม่สามารถผูกขาดภาคส่วนใดๆ
ในระบบเศรษฐกิจของคิวบาได้[5]
ประตูทางเข้าย่านไชน่าทาวน์ของกรุงฮาวานา
นอกจากความสำคัญในทางเศรษฐกิจแล้ว
ชาวจีนในคิวบายังมีบทบาทในด้านการต่อสู้เพื่อเอกราชของคิวบาอีกด้วย
ดังที่มีนักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่า
โดยปกติแล้วชาวจีนโพ้นทะเลในยุคอาณานิคมมักจะมีสถานะทางเศรษฐกิจดีกว่าคนพื้นเมืองและมักจะมีความสัมพันธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อเจ้าอาณานิคม
แต่ในกรณีของคิวบานั้น
ชาวจีนโพ้นทะเลกลับกลายเป็นพลังในการต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยม[6]
ดังแสดงออกให้เห็นชัดเจนในการลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจการปกครองของสเปนทั้งสองครั้ง
คือ ช่วง ค.ศ. 1868 – 1878 และช่วง ค.ศ. 1895 – 1898 จนคิวบาได้เอกราชอย่างเป็นทางการเมื่อ ค.ศ. 1902 และใน
ค.ศ. 1931 ทางการคิวบาได้อนุญาตให้มีการจัดสร้างป้ายจารึกวีรกรรมของชาวจีนโพ้นทะเลในการต่อสู้เพื่อเอกราช
โดยมีการจารึกข้อความของกอนซาโล เดอ เกซาดา (Gonzalo de Quesada) ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชของคิวบาที่ทำงานคู่กับโฮเซ มาร์ตี (José
Martí) ซึ่งระบุว่า “ไม่มีชาวจีนในคิวบาเลยสักคนที่หนีทหาร ไม่มีชาวจีนในคิวบาเลยสักคนที่ทรยศ”[7]
ในระดับรัฐ
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับคิวบาเริ่มต้นในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อการเพิ่มจำนวนขึ้นของชาวจีนในคิวบาในช่วงดังกล่าวทำให้รัฐบาลจีนสนใจความเป็นไปของพวกเขา
โดยใน ค.ศ. 1877 รัฐบาลราชวงศ์ชิงของจีนได้ทำสนธิสัญญากับสเปนซึ่งระบุให้ยกเลิกการใช้แรงงานจีนในระบบบังคับทำสัญญา
โดยให้มีแต่แรงงานอิสระเท่านั้น
และยังต้องปฏิบัติต่อชาวจีนในสถานะชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favored
Nation)[8] อีกสองปีถัดมาหรือตรงกับ ค.ศ. 1879 จีนก็ได้เปิดสถานกงสุลในคิวบา
โดยมีหลิวเลี่ยงหยวน (Liu Liangyuan) เป็นกงสุลคนแรก
และเมื่อคิวบาได้เอกราชใน ค.ศ. 1902 รัฐบาลราชวงศ์ชิงของจีนก็ให้การรับรองสาธารณรัฐคิวบาและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปีเดียวกัน
ต่อมาเมื่อเกิดการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิงและสถาปนาสาธารณรัฐจีนขึ้นในวันที่ 1
มกราคม ค.ศ. 1912 คิวบาก็ให้การรับรองสาธารณรัฐจีนในปีถัดมา
และเมื่อพรรคกั๋วหมินตั่งซึ่งปกครองสาธารณรัฐจีนพ่ายแพ้แก่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในสงครามกลางเมืองจนต้องย้ายรัฐบาลไปตั้งที่กรุงไทเปเมื่อ
ค.ศ. 1949 ทางการคิวบาก็ยังคงให้การรับรองรัฐบาลของสาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวันต่อไป
โดยตลอดทศวรรษ 1950 คิวบาเป็นแหล่งลี้ภัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกั๋วหมินตั่งและบรรดานักบวชนิกายคาทอลิกจากจีนแผ่นดินใหญ่เป็นจำนวนราว
3,000 คน [9]
แม้ว่ารัฐบาลพรรคกั๋วหมินตั่งจะยังคงได้รับการรับรองจากรัฐบาลคิวบา
และยังมีอิทธิพลอยู่มากในหมู่คนเชื้อสายจีนในคิวบา แต่พรรคก็ไม่สามารถผูกขาดความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ได้ทั้งหมด
ดังจะเห็นได้จากการมีความเคลื่อนไหวของคนเชื้อสายจีนในคิวบาที่นิยมลัทธิมากซ์มาตั้งแต่ทศวรรษ
1920 แล้วดังเช่นกรณีของโฮเซ วอง (José Wong) ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างคิวบากับจีนในเวลาต่อมา[10]
เป็นต้น และในทศวรรษ 1940 ก็เกิดการรวมกลุ่มเป็นสมาคมของคนเชื้อสายจีนในคิวบาที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ใช้ชื่อว่า
“พันธมิตรแห่งชาติเพื่อปกป้องประชาธิปไตยของจีน (Alianza Nacional de Apoyo
a la Democracía China)” และเป็นสมาคมที่เรียกร้องให้รัฐบาลคิวบารับรองรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนหลัง
ค.ศ. 1949 แต่รัฐบาลคิวบาในขณะนั้นมีนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตามสหรัฐอเมริกาและได้บีบบังคับให้สมาคมดังกล่าวหยุดดำเนินการใน
ค.ศ. 1951[11] อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเชื้อสายจีนยังคงมีอยู่ต่อไป
โดยในช่วง ค.ศ. 1956 – 1958 ที่ฟิเดล คาสโตรกำลังทำสงครามเพื่อโค่นล้มรัฐบาลบาติสตาอยู่นั้นก็มีคนเชื้อสายจีนเข้าร่วมด้วย
โดยเป็นทั้งกองกำลังอยู่ในชนบทและอีกส่วนหนึ่งดำเนินงานใต้ดินอยู่ในเขตเมือง[12]
อีกทั้งบางคนถึงกับได้รับความไว้วางใจให้เป็นนายทหารระดับบังคับบัญชา เช่น อาร์มานโด
ชอย (Armando Choy) กุสตาโว ชุย (Gustavo Chui) มัวเสส ซิโอ วอง (Moisés Sío Wong) เป็นต้น ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็ยังคงทำงานในตำแหน่งสำคัญของกองทัพคิวบาต่อไปหลังจากฟิเดล
คาสโตรทำการปฏิวัติสำเร็จใน ค.ศ. 1959[13]
------------------------------------------------------------------
[1] Walton Look Lai, “The Caribbean,” in The
Encyclopedia of the Chinese Overseas, ed. Lynne Pan (Cambridge, MA: Harvard
University Press, 1999), 248.
[2] คิวบายังคงมีระบบทาสจนถึง ค.ศ. 1886
[3] สวีซื่อเฉิง, เรื่องเดียวกัน, 289.
[4] Lai, ibid., 249.
[5] Ibid., 250-251.
[6] Gregor Benton, Chinese Migrants and
Internationalism: Forgotten histories, 1917-1945 (Oxon: Routledge, 2007),
37.
[7] สวีซื่อเฉิง, เรื่องเดียวกัน,
290. และดูข้อเขียนของกอนซาโล เดอ เกซาดาฉบับเต็มได้ใน Mauro
García Triana and Pedro Eng Herrera, The Chinese in Cuba, 1847- Now, ed.
and trans. by Gregor Benton (Lanham: Lexington Books, 2009), 185-194.
[8] สวีซื่อเฉิง, เรื่องเดียวกัน, 290-291.
[9] Kathleen López, Chinese Cubans: A Transnational
History (Chapel Hill, NC: The University of North Carolina Press, 2013),
221-222.
[10] Triana and Herrera, ibid., 28-29.
[11] López, ibid., 222-223.
[12] Benton, ibid., 46.
[13] ดูเรื่องราวของนายทหารทั้งสามคนได้ใน Armando
Choy, Gustavo Chui, and Moises Sío Wong, Our
History Is Still Being Written: The Story of Three Chinese-Cuban Generals in
the Cuban Revolution, ed. Mary-Alice Waters (New York: Pathfinder, 2005).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น