ความขัดแย้งระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียนอกจากจะมีนัยที่เกี่ยวข้องกับสหภาพโซเวียตแล้ว
ยังมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในของจีนอีกด้วย ดังบันทึกของอู๋ซิ่วเฉวียน
เอกอัครราชทูตประจำกรุงเบลเกรดคนแรกที่ระบุว่า
ความถดถอยในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการต่อสู้ทางชนชั้น
(class struggle) ภายในประเทศจีน[1] สอดคล้องกับแนวคิดของนักวิชาการอย่างเฉินเจียน (Chen Jian) ที่ชี้ให้เห็นความพยายามของเหมาเจ๋อตงที่จะขับเคลื่อน “การปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง (continuous
revolution)” ภายในประเทศของตนโดยใช้นโยบายต่างประเทศมาช่วย
ดังความตอนหนึ่งว่า
เพื่อรักษาไว้ซึ่งแรงขับเคลื่อนของการปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง
เหมาจำเป็นต้องหาวิธีการปลุกระดมมวลชน
และในกระบวนการหาวิธีการดังกล่าวนี้เองที่เหมาตระหนักว่า
นโยบายต่างประเทศที่ปฏิวัตินั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง ...
นโยบายต่างประเทศที่ปฏิวัตินั้นช่วยให้โครงการเปลี่ยนแปลงรัฐและสังคมทั้งหลายของเหมาทรงพลังจนกลายเป็นแนวทางระดับชาติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และเอาชนะข้อกังวลจากท้องถิ่น ภูมิภาค หรือกลุ่มการเมืองได้
เมื่อเกิดความตึงเครียดระหว่างเหมากับสมาชิกคนอื่นๆ ของพรรค
หรือระหว่างพรรคกับประชาชน
นโยบายต่างประเทศที่ปฏิวัติก็เป็นวิถีทางที่มีประสิทธิผลและอาจเป็นวิถีทางเดียวที่ช่วยให้เหมาสามารถยกระดับอำนาจและสร้างความชอบธรรมให้กับการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องได้[2]
ความตกต่ำของความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับยูโกสลาเวียซึ่งเริ่มต้นในครึ่งหลังของทศวรรษ
1950 นั้นตรงกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในจีน 2 เหตุการณ์ เหตุการณ์แรกคือ ขบวนการแก้ไขความคิดให้ถูกต้องและต่อต้านฝ่ายขวา
(The Rectification and anti-Rightist Movement) ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิของ
ค.ศ. 1957 ไปจนถึงฤดูร้อนของ ค.ศ. 1958 โดยหนังสือประวัติศาสตร์ฉบับทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระบุว่า
มีผู้ถูกทางการตราหน้าว่าเป็นฝ่ายขวารวมกันถึง 550,000
คน[3]
การประณามยูโกสลาเวียในช่วงเวลานั้นจึงช่วยให้ขบวนการดังกล่าวทรงพลังและมีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น
ดูได้จากคำกล่าวของเหมาเจ๋อตงต่อบรรดาเลขานุการของคณะกรรมการพรรคในมณฑลต่างๆ
เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1957 ซึ่งผูกโยงยูโกสลาเวีย โปแลนด์
และฮังการีเข้ากับชนชั้นเจ้าที่ดิน ชาวนารวย กระฎุมพี และบรรดาพรรคประชาธิปไตยในจีนซึ่งรอคอยโอกาสจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ความตอนหนึ่งว่า
จากการสำรวจในกรุงปักกิ่ง
นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นบุตรของเจ้าที่ดิน ชาวนารวย กระฎุมพี
และชาวนากลางที่มีอันจะกิน ขณะที่นักศึกษาจากครอบครัวของกรรมกรและชาวนาจนนั้นมีไม่ถึงร้อยละ
20 นี่อาจเป็นตัวเลขคร่าวๆ ที่ฉายภาพทั้งประเทศ
สถานการณ์เช่นนี้จะต้องเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องอาศัยเวลา โกมูวกาเป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักศึกษาของเรา
ติโตและคาร์เดจก็เช่นกัน จริงอยู่ ตอนที่เกิดความไม่สงบในโปแลนด์และฮังการี
เจ้าที่ดินกับชาวนาในชนบท
รวมทั้งนายทุนและสมาชิกพรรคประชาธิปไตยต่างประพฤติตัวดีและไม่ออกมาสร้างปัญหาหรือออกมาขู่ฆ่าคนนับพันนับหมื่น
แต่เราก็ควรวิเคราะห์ว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนั้น
ก็เพราะพวกเขาไม่มีทุนทางการเมืองอีกต่อไปแล้ว กรรมกรกับชาวนาจนและชาวนากลางระดับล่างไม่ฟังพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
พวกเขาเลยไม่มีที่ยืน
แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ถูกโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์
พวกเขาจะไม่เปลี่ยนไปหรือ? คุณอย่ามั่นใจนักว่าพวกเขาจะไม่เปลี่ยน
เพราะท้ายที่สุดจะเกิดการรวมตัวกันของเจ้าที่ดิน ชาวนารวย กระฎุมพี และสมาชิกของพรรคประชาธิปไตยทั้งหลาย[4]
(เน้นโดยผู้วิจัย)
เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นถัดมาก็คือ
การประกาศนโยบายก้าวกระโดด (The Great Leap Forward) ที่เริ่มในฤดูหนาวปลาย
ค.ศ. 1957 ไปจนถึง ค.ศ. 1959
อันเป็นความพยายามของเหมาเจ๋อตงที่จะนำจีนไปสู่การเป็นประเทศสังคมนิยมที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมโดยอาศัยการระดมมวลชนมาทำการผลิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตเหล็กและเหล็กกล้า ซึ่งมีแกนนำระดับสูงในพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย
จึงมีความเป็นไปได้ว่า “มติเกี่ยวกับการประชุมผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคกรรมกรที่กรุงมอสโก” ของสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อวันที่
23 พฤษภาคม ค.ศ. 1958 นอกจากจะเป็นการตอบโต้ถ้อยแถลงของยูโกสลาเวียในการประชุมสมัชชาสันนิบาตคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว
ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนจากเหมาไปยังผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายก้าวกระโดดด้วยว่า
พวกเขาสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกลัทธิแก้เหมือนติโต[5]
แม้ว่านโยบายก้าวกระโดดของเหมาเจ๋อตงจะประสบความล้มเหลวจนเหมาต้องเปิดทางให้หลิวเส้าฉี
โจวเอินไหล และเติ้งเสี่ยวผิงเข้ามารับหน้าที่ฟื้นฟูบูรณะเศรษฐกิจของประเทศในต้นทศวรรษ
1960 โดยอาศัยกลไกตลาดบางส่วน แต่เหมาก็มิได้ลดละที่จะรณรงค์เรื่องการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการฟื้นตัวของลัทธิทุนนิยม
โดยใน ค.ศ. 1962 เหมาจัดให้มีขบวนการศึกษาสังคมนิยม (The Socialist
Education Movement) และในปีถัดมาเหมาประกาศว่า ลัทธิแก้ได้ก่อตัวขึ้นในพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว[6] เอกสารของทางการจีนใน
ค.ศ. 1964 ระบุชัดเจนว่า ระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพได้กลายเป็นลัทธิแก้เนื่องจากความเสื่อมถอยของผู้นำพรรคและรัฐ
โดยมีบทเรียนสำคัญคือกรณีของยูโกสลาเวีย จึงต้องมีการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวกับจีน[7]
เหมาเจ๋อตงต้อนรับการชุมนุมของพวกยามแดง ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1966
(ภาพจาก www.hugchina.com )
การเมืองจีนเข้าสู่ยุคซ้ายจัดใน
ค.ศ. 1966 เมื่อเหมาเจ๋อตงเริ่มการปฏิวัติวัฒนธรรม (The
Cultural Revolution) บุคคลที่เคยเกี่ยวข้องกับยูโกสลาเวียถูกนำตัวมาสอบสวนเนื่องจากต้องสงสัยว่าเป็นผู้ที่สมคบคิดกับพวกลัทธิแก้
เช่น เผิงเจินและอู๋ซิ่วเฉวียนถูกสอบสวนในกรณีที่พบปะกับติโตเป็นการส่วนตัวเมื่อเดือนมกราคม
ค.ศ. 1957 ทั้งๆ ที่การพบปะดังกล่าวได้รับอนุญาตจากโจวเอินไหล
นายกรัฐมนตรี[8] อู๋ซิ่วเฉวียนยังถูกสอบสวนเพิ่มเติมเนื่องจากในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงเบลเกรด
เขาได้รับเชิญให้ไปล่าสัตว์กับติโตเป็นประจำทุกปี[9]
และในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 สถานทูตยูโกสลาเวียในกรุงปักกิ่งก็ตกเป็นเป้าโจมตีของพวกยามแดง (The
Red Guards) ซึ่งศรัทธาในอุดมการณ์ปฏิวัติของเหมา[10] ต่อมาในเดือนเมษายนของปีเดียวกัน
แบรนโก โบกูโนวิช (Branko Bogunovic) ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวยูโกสลาเวียประจำประเทศจีนก็ถูกทางการจีนเชิญออกนอกประเทศด้วยข้อหาบิดเบือนและโจมตีการปฏิวัติวัฒนธรรม[11]
--------------------------------------------------
[1] Wu Xiuquan, ibid., 125-126.
[2] Chen Jian, Mao’s China and the Cold War (Chapel
Hill, NC: The University of North Carolina Press, 2001), 11-12.
[3] Hu Sheng, A Concise History of the Communist Party
of China (Beijing: Foreign Languages Press, 1994), 528.
[4] Mao Zedong, “"Talks at
a Conference of Secretaries of Provincial, Municipal, and Autonomous Region
Party Committees, January 1957,” available from https://www.marxists.org/reference/archive/mao/selected-works/volume-5/mswv5_57.htm,
accessed 5 October 2015.
[5] “General Introduction,” in Communist China
1955-1959: Policy Documents with Analysis, ibid.,19.
[6] Hu Sheng, ibid., 605.
[7] “On Krushchov’s Phoney Communism and Its Historical
Lessons for the World,” ibid.
[8] Wu Xiuquan, ibid., 118-119.
[9] Ibid., 108.
[10] A. Ross Johnson, ibid., 190.
[11] Peter Cheng, A Chronology of the People’s Republic
of China from October 1, 1949 (Totowa, NJ: Littelfield, Adams & Co.,
1972), 250.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น