“ฝูหลินขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์โดยมีรุ่ยชินหวังตัวเอ๋อร์กุ่นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
พระสนมเอกจวงเฟยได้รับการสถาปนาเป็นพระพันปีหลวง
ลือกันว่าพระนางอภิเษกสมรสกับตัวเอ๋อร์กุ่น
แต่ก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง”
(Du Jiaxiang, 2010: 207)
“ในบางกรณี บันทึกส่วนบุคคลก็มีความสมบูรณ์และเชื่อถือได้มากกว่าบันทึกของทางราชการ
และเป็นแหล่งข้อมูลที่ปฐมภูมิมากกว่า
เนื่องจากไม่ต้องเผชิญกับการชำระหรือตัดออกเหมือนกับบันทึกของทางราชการ”
(Kahn, 1971: 47)
สุสานตะวันออกของราชวงศ์ชิง (清东陵) ตั้งอยู่ที่อำเภอจุนฮว่า
มณฑลเหอเป่ย ห่างจากกรุงปักกิ่งไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 125 กิโลเมตร สุสานดังกล่าวมีพื้นที่ 80 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิราชวงศ์ชิงรวม
5 พระองค์ ได้แก่ จักรพรรดิซุ่นจื้อ (顺治ครองราชย์
ค.ศ. 1643
– 1661) จักรพรรดิคังซี (康熙ครองราชย์
ค.ศ. 1661
– 1722) จักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆ครองราชย์
ค.ศ. 1735
– 1795) จักรพรรดิเสียนเฟิง (咸丰ครองราชย์
ค.ศ. 1850
– 1861) และจักรพรรดิถงจื้อ (同治ครองราชย์
ค.ศ. 1861
– 1875) และยังเป็นที่ฝังพระศพของบรรดาจักรพรรดินี พระสนม
และพระบรมวงศานุวงศ์อีกราว 150 พระองค์ อย่างไรก็ตาม
ด้านนอกกำแพงของสุสานดังกล่าวกลับมีอีกสุสานหนึ่งตั้งอยู่แยกออกมาต่างหาก
สุสานดังกล่าวชื่อว่าสุสานจาวซี (昭西陵) เป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวิน
(孝庄文皇后 ค.ศ. 1613 - 1688) พระราชชนนีของจักรพรรดิซุ่นจื้อและพระอัยยิกาของจักรพรรดิคังซี
ภูมิหลังของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวิน : จากเชื้อพระวงศ์มองโกลสู่พระพันปีหลวงแห่งราชสำนักแมนจูที่ปกครองแผ่นดินจีน
จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินประสูติเมื่อวันที่
28 มีนาคม ค.ศ. 1613 พระนามเดิมว่า บุมบูไท่ (布木布泰Bumbutai) ทรงเป็นธิดาของไจ้ซาง (寨桑) เจ้าชายมองโกลตระกูลเบอร์จิจิต
(博尔济吉特氏Berjijit clan) แห่งเผ่าเคอร์ชิน (科尔沁部Khorchin Mongols)
ในเวลานั้นประเทศจีนภายใต้การปกครองของราชวงศ์หมิง (明朝) ที่สถาปนาโดยชาวจีนฮั่นมาตั้งแต่กลางคริศต์ศตวรรษที่
14 กำลังเสื่อมอำนาจลง ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือที่เรียกกันในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ว่าแมนจูเรีย
(Manchuria) เกิดการรวมตัวของชาวหนี่ว์เจิน (女真Jurchens) ภายใต้การนำของหนูเอ่อร์ฮาชื่อ (努尔哈赤ค.ศ.1559 – 1626)
ผู้ซึ่งใน ค.ศ. 1616 ได้สถาปนาตนเองเป็นข่านแห่งราชวงศ์โฮ่วจิน
(后金) และสถาปนาเมืองเสิ่นหยาง (沈阳) เป็นเมืองหลวงในเวลาต่อมา
เผ่าเคอร์ชินซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำเหลียว (辽河) ถือเป็นชาวมองโกลกลุ่มแรกๆ
ที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับหนูเอ่อร์ฮาชื่อ ซึ่งการเป็นพันธมิตรดังกล่าวนอกจากจะหมายถึงการช่วยเหลือทางการทหารซึ่งกันและกันแล้ว
ยังรวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ฉันเครือญาติผ่านการแต่งงานอีกด้วย (Li, 2002: 30) เรื่องดังกล่าวจึงส่งผลต่อชะตาชีวิตของเชื้อพระวงศ์ที่เป็นสตรีของเผ่าเคอร์ชินอย่างบุมบูไท่เป็นอย่างมาก
โดยใน ค.ศ. 1614 เผ่าเคอร์ชินได้ส่งเจ๋อเจ๋อ (哲哲ค.ศ. 1599 - 1649) อาหญิงของบุมบูไท่ไปอภิเษกสมรสเป็นอัครชายาของหวงไท่จี๋ (皇太极ค.ศ. 1592 - 1643) พระโอรสองค์ที่ 8 ของหนูเอ่อร์ฮาชื่อ และเมื่อถึง
ค.ศ. 1625 ก็มีการส่งบุมบูไท่ในวัย
12 ปีไปเป็นชายาอีกคนหนึ่งของหวงไท่จี๋เช่นกัน และหลังจากที่หวงไท่จี๋ขึ้นครองตำแหน่งข่านต่อจากพระราชบิดาใน
ค.ศ. 1626 การสร้างพันธมิตรผ่านการแต่งงานก็ยังคงมีอยู่ต่อไป
โดยใน ค.ศ. 1634 หวงไท่จี๋ได้รับไห่หลานจู (海兰珠ค.ศ. 1609 - 1641) พี่สาวของบุมบูไท่มาเป็นชายาอีกองค์หนึ่ง
ชีวิตของบุมบูไท่ในราชสำนักโฮ่วจิน ณ
นครเสิ่นหยางดำเนินไปเหมือนนางในทั่วไป นั่นคือการทำหน้าที่ถวายปรนนิบัติแด่หวงไท่จี่ผู้เป็นข่าน
บุมบูไท่ให้กำเนิดพระธิดารวม 3 พระองค์ ได้แก่ เจ้าหญิงกู้หลุนยงมู่ (固伦雍穆长公主) เจ้าหญิงกู้หลุนซูฮุ่ย (固伦淑慧长公主) และเจ้าหญิงกู้หลุนตวนเสี้ยน (固伦端献长公主) เมื่อ ค.ศ. 1629,
1632 และ 1633 ตามลำดับ แต่เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังของทศวรรษ 1630
ก็มีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อสถานะของบุมบูไท่
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1635 เมื่อหวงไท่จี๋สามารถทำสงครามปราบปรามกลุ่มอำนาจใหญ่ของชาวมองโกลเผ่าชาฮาร์ (察哈尔部Chahar) ที่นำโดยลิกดานข่าน (林丹汗Ligdan Khan ค.ศ. 1592
- 1634) ได้สำเร็จและครอบครองตราแผ่นดินโบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นต่อจากข่านองค์ดังกล่าว
ซึ่งเปรียบเสมือนนิมิตหมายว่าหวงไท่จี๋ได้รับอาณัติจากสวรรค์ให้มาปกครองโลกมนุษย์ (Yan
Chongnian, 2005: 27 - 28) ดังนั้นในปีถัดมาหวงไท่จี๋จึงเปลี่ยนชื่อชนชาติจากหนี่ว์เจินเป็น
“หม่านโจว” (满洲) หรือแมนจู และเปลี่ยนชื่อราชวงศ์จากโฮ่วจินเป็น
“ชิง” (清) รวมทั้งสถาปนาตนเองเป็น “หวงตี้” (皇帝) หรือจักรพรรดิตามแบบจีน
เรื่องดังกล่าวส่งผลต่อบรรดาชายาของหวงไท่จี๋ กล่าวคือ เจ๋อเจ๋อผู้เป็นอัครชายาชองหวงไท่จี๋ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดินี
(皇后)
ส่วนบุมบูไท่และไห่หลานจูก็ได้รับการสถาปนาให้เป็นพระสนมเอกจวงเฟย (庄妃) และพระสนมเอกเฉินเฟย
(宸妃) ตามลำดับ ส่วนเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1638
เมื่อพระสนมจวงเฟยให้กำเนิดโอรสนามว่าฝูหลิน (福临) ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่
9 ของหวงไท่จี๋ และจะเป็นผู้สืบราชสมบัติในเวลาต่อมา
เหตุการณ์หนึ่งในรัชสมัยของหวงไท่จี๋ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นผลงานของพระสนมเอกจวงเฟยหรือไม่นั้นก็คือ การยอมสวามิภักดิ์ของหงเฉิงโฉว (洪承畴ค.ศ. 1593 - 1665) แม่ทัพคนสำคัญของราชวงศ์หมิงใน ค.ศ. 1642 กล่าวคือ หลังปราบลิกดานข่านได้สำเร็จ หวงไท่จี๋ทรงหันมาทุ่มเทกำลังทำสงครามทางทิศใต้กับราชวงศ์หมิงของจีนอย่างเต็มที่
โดยมีการยกทัพครั้งใหญ่รวม 3 ระลอกใน ค.ศ. 1636, 1638
- 1639 และ 1642 ซึ่งในครั้งหลังสุดกองทัพแมนจูสามารถจับกุมตัวหงเฉิงโฉวเอาไว้ได้
มีเรื่องเล่ากันว่าในตอนแรกหวงไท่จี๋ทรงมอบหมายให้ฟ่านเหวินเฉิง
(范文程ค.ศ. 1597 - 1666) ขุนนางชาวฮั่นที่สวามิภักดิ์ต่อแมนจูมาตั้งแต่สมัยหนูเอ่อร์ฮาชื่อเป็นผู้เกลี้ยกล่อมหงเฉิงโฉวให้สวามิภักดิ์แต่ไม่สำเร็จ
ในที่สุดหวงไท่จี๋จึงต้องใช้ “อุบายนางงาม” (美人计) ด้วยการส่งพระสนมเอกจวงเฟยไปเกลี้ยกล่อมจนเขายอมสวามิภักดิ์
(Han Yongfu, 2004: 4-5) เรื่องดังกล่าวไม่ปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์ของทางราชการ
แต่ก็เป็นเรื่องที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่การปฏิวัติซินไฮ่ (辛亥革命) และการล่มสลายของราชวงศ์ชิงนำไปสู่เสรีภาพด้านวรรณกรรม
นักเขียนชาวฮั่นในยุคนั้นจึงมักนำเสนอภาพลักษณ์ของราชสำนักแมนจูในแง่ของการใช้ความรุนแรงและความหมกมุ่นเรื่องเพศ
(Dong,
2007: 287) ทั้งหมดนี้ทำให้ยังไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าเรื่องเล่าดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่
จุดพลิกผันในชีวิตของพระสนมเอกจวงเฟยเกิดขึ้นเมื่อจักรพรรดิหวงไท่จี๋สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันในวันที่
21 กันยายน
ค.ศ. 1643 โดยมิได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาทเอาไว้
นำไปสู่การแย่งชิงอำนาจกันในบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ควบคุมกองทัพแปดธง (八旗Eight Banners)[1]
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างตัวเอ๋อร์กุ่น (多尔衮ค.ศ. 1612 - 1650) พระอนุชาต่างพระชนนีของหวงไท่จี๋ซึ่งควบคุมกองทัพธงขาว กับหาวเก๋อ (豪格ค.ศ. 1609 - 1648) พระราชโอรสองค์โตของหวงไท่จี๋ซึ่งควบคุมกองทัพธงน้ำเงิน ในที่สุดเจ้านายแมนจูอาวุโสนามว่าไต้ส้าน
(代善ค.ศ. 1583 - 1648) ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ที่
2 ของหนูเอ่อร์ฮาชื่อซึ่งควบคุมกองทัพธงแดงและธงแดงมีขอบได้เข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยการทูลเชิญฝูหลิน
พระราชโอรสวัย 6 พรรษาของหวงไท่จี๋ที่ประสูติจากพระสนมเอกจวงเฟยขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิซุ่นจื้อ
โดยให้ตัวเอ๋อร์กุ่นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับจีร์ฮาลาง
(济尔哈朗ค.ศ. 1599 - 1655) ผู้เป็นพระภาติยะ
(หลานลุง) ของหนูเอ่อร์ฮาชื่อซึ่งควบคุมกองทัพธงน้ำเงินมีขอบ ส่วนจักรพรรดินีของหวงไท่จี๋และพระสนมเอกจวงเฟยต่างได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระพันปีหลวง
(皇太后) โดยถวายพระนามเมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้วว่าจักรพรรดินีเสี้ยวตวนเหวิน
(孝端文皇后) และจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินตามลำดับ
ในปีถัดมาเมื่อราชวงศ์หมิงล่มสลายและกองทัพแมนจูบุกยึดกรุงปักกิ่งได้สำเร็จ
จักรพรรดิซุ่นจื้อและจักรพรรดินีพันปีหลวงทั้งสองก็ได้เสด็จออกจากนครเสิ่นหยางไปประทับ
ณ กรุงปักกิ่งเป็นการถาวร ต่อมาเมื่อจักรพรรดินีเสี้ยวตวนเหวินสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1649 จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินซึ่งมีพระชนมายุ 36
พรรษาก็กลายเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายในที่มีอิสริยยศสูงสุดของราชสำนักแมนจูไปโดยปริยาย
ปริศนาการอภิเษกสมรสระหว่างจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินกับตัวเอ๋อร์กุ่น
แม้จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับจีร์ฮาลาง
แต่อำนาจของตัวเอ๋อร์กุ่นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อันเป็นผลมาจากการสร้างบารมีทางการทหารด้วยการเข้ายึดกรุงปักกิ่งได้สำเร็จใน ค.ศ. 1644 รวมทั้งการสนับสนุนจากตัวตั๋ว
(多铎) น้องชายของเขาซึ่งควบคุมกองทัพธงขาวมีขอบ
และจากแม่ทัพถานไท่ (谭泰) และเหอลั่วฮุ่ย (何洛会) ซึ่งสังกัดกองทัพธงเหลือง
(Dennerline, 2002: 78-79) ต่อมาใน ค.ศ. 1648 หาวเก๋อถูกจำคุกด้วยข้อหาพยายามเคลื่อนไหวเพื่อท้าทายอำนาจของตัวเอ๋อร์กุ่นและเสียชีวิตลงไม่นานหลังจากนั้น
ขณะที่จีร์ฮาลางก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ารู้เห็นกับแผนการของหาวเก๋อ
การสิ้นอำนาจของหาวเก๋อทำให้กองทัพธงน้ำเงินย้ายมาอยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอ๋อร์กุ่น
เท่ากับว่าในปลายทศวรรษ 1640 ตัวเอ๋อร์กุ่นคือผู้กุมอำนาจสูงสุดในราชสำนักจนกระทั่งเสียชีวิตระหว่างออกไปล่าสัตว์เมื่อวันที่
31 ธันวาคม ค.ศ. 1650
สถานะและอำนาจอันเปี่ยมล้นของตัวเอ๋อร์กุ่นในขณะที่จักรพรรดิซุ่นจื้อยังทรงพระเยาว์นำไปสู่เรื่องเล่าที่ว่าจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินทรงจำต้องรักษาความมั่นคงของราชบังลังก์ของพระราชโอรสด้วยการยอมอภิเษกสมรสกับตัวเอ๋อร์กุ่น
หรือที่เรียกกันว่า “ปริศนาการอภิเษกสมรสของพระพันปีหลวง” (太后下嫁之谜) เรื่องเล่าดังกล่าวมีที่มาจากบทกวีชื่อ
พระตำหนักเจี้ยนอี้ (建夷宫词) แต่งโดยจางหวงเหยียน
(张煌言ค.ศ. 1620 - 1664) ความตอนหนึ่งว่า
จอกเหล้าวันเกิดกลายเป็นจอกเหล้ามงคล
พระตำหนักสือหนิงเต็มไปด้วยความคึกคัก
ขุนนางเข้าร่วมพิธีการ
มาพบกันเพื่อฉลองราชาภิเษกสมรสของพระพันปีหลวง
上寿觞为合卺尊,慈宁宫里灿盈门;
春官昨进新仪注,大礼恭逢太后婚。
(Yan Chongnian,
2005: 46)
นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐานใน ร่างประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิง
(清史稿)[2]
ด้วยว่ามีการเปลี่ยนแปลงการเรียกตำแหน่งของตัวเอ๋อร์กุ่นอยู่หลายครั้ง
โดยใน ค.ศ. 1644 เรียกว่า “พระปิตุลาผู้สำเร็จราชการ” (叔父摄政王) แต่พอถึง
ค.ศ. 1645 ก็เปลี่ยนเป็น “พระบรมราชปิตุลาผู้สำเร็จราชการ” (皇叔父摄政王) และเมื่อถึง
ค.ศ. 1648 ก็เปลี่ยนเป็น “พระบรมราชชนกผู้สำเร็จราชการ” (皇父摄政王) ซึ่งการเรียกว่า
“พระบรมราชชนก” หรือ “หวงฟู่” (皇父) นั้นยิ่งเป็นหลักฐานเสริมให้เรื่องเล่าเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินดูมีน้ำหนักมากขึ้น
(Han Yongfu, 2004: 10)
เมิ่งเซิน (孟森ค.ศ. 1868 - 1937) เป็นนักประวัติศาสตร์คนสำคัญที่ออกมาวิเคราะห์ว่าเรื่องเล่าดังกล่าวไม่น่าจะเป็นความจริง โดยมีเหตุผลว่า ประการแรก บทกวีของจางหวงเหยียนนั้นเชื่อถือไม่ได้
เนื่องจากผู้แต่งเป็นชาวฮั่นที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้และต่อต้านการปกครองราชวงศ์ชิง (Dong,
2007: 285) ซึ่งนักประวัติศาสตร์อย่างเหยียนฉงเหนียน (阎崇年ค.ศ. 1934 - ) ก็สนับสนุนเมิ่งเซินโดยตั้งข้อสังเกตว่าบทกวี พระตำหนักเจี้ยนอี้ มีนัยแฝงการเหยียดเชื้อชาติ
เพราะคำว่า “เจี้ยน” (建) หมายถึงเจี้ยนโจว (建州) ซึ่งเป็นชื่อถิ่นฐานเดิมของราชวงศ์ชิง
(ปัจจุบันอยู่ในมณฑลจี๋หลิน) ส่วน “อี้” (夷) หมายถึงอนารยชน
(Yan Chongnian, 2005: 46) สอดคล้องกับทัศนะของสวี่จัวหยุน (许倬云ค.ศ. 1930 - ) ที่ได้สรุปเอาไว้ว่า
ความต้องการที่จะโค่นล้มราชวงศ์ชิงและฟื้นฟูราชวงศ์หมิงไม่เคยจางหายไป
... อีกทั้งยังมีข่าวลือมากมายและหลากหลายแพร่สะพัดในหมู่ประชาชน
เช่นเรื่องที่ว่าหลังการสิ้นพระชนม์ของหวงไท่จี๋ ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ชิง [sic] จักรพรรดินีม่ายเสี้ยวจวงเหวินได้อภิเษกสมรสกับตัวเอ๋อร์กุ่น
เจ้าชายผู้สำเร็จราชการซึ่งเป็นพระอนุชาของพระสวามีของพระองค์ ... การแพร่สะพัดของเรื่องซุบซิบที่แปลกประหลาดและไม่มีมูลเหล่านี้เป็นเพียงภาพสะท้อนการที่ชาวฮั่นต้องการเยาะเย้ยการปกครองของชาวแมนจูเท่านั้นเอง
(Hsu, 2006:
440-441)
ประการที่สอง เมิ่งเซินมองว่าการที่ตัวเอ๋อร์กุ่นมีสถานะเป็น “พระบรมราชชนก” หรือ
“หวงฟู่” (皇父) นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
เนื่องจากกษัตริย์หรือจักรพรรดิของจีนในอดีตก็เคยเรียกขุนนางว่า “ซ่างฟู” (尚父) หรือ
“จ้งฟู่” (仲父) เพื่อแสดงความนับถือเสมือนเป็นบิดามาแล้ว
สถานะดังกล่าวของตัวเอ๋อร์กุ่นจึงสะท้อนให้เห็นคุณูปการที่เขามีต่อราชวงศ์ชิง และหาใช่หลักฐานที่แสดงว่ามีการอภิเษกสมรสระหว่างเขากับจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินแต่อย่างใด
(Dong, 2007: 285 - 286)
ประการที่สาม
เมิ่งเซินมองว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีหลักฐานปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์ของทางราชการจีนเลย
และเมื่อหันไปพิจารณาหลักฐานต่างชาติอย่าง จดหมายเหตุรายวันราชวงศ์ลี (李朝实录) ของเกาหลีซึ่งติดต่อกับราชวงศ์ชิงในระบบบรรณาการอยู่เป็นประจำทุกปีก็ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกเรื่องดังกล่าวเอาไว้เช่นกัน
เมิ่งเซินจึงสรุปว่าข้อมูลจากประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการ (野史) โดยไม่มีบันทึกประวัติศาสตร์ของทางราชการ
(正史) มารองรับย่อมเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้
(Dong, 2007: 286)
อย่างไรก็ตาม เหตุผลของเมิ่งเซินมิได้เป็นที่ยอมรับไปเสียทั้งหมด
ดังที่หูซื่อ (胡适ค.ศ. 1893 – 1962) ปัญญาชนจีนร่วมสมัยกับเมิ่งเซินได้แสดงทัศนะว่า คำอธิบายของเมิ่งเซินเกี่ยวกับสถานะ
“หวงฟู่” ของตัวเอ๋อร์กุ่นโดยยกตัวอย่างของ “ซ่างฟู่” และ “จ้งฟู่” ในอดีตนั้นยังฟังไม่ขึ้น
(Dong, 2007: 287 – 288) ขณะที่มีนักประวัติศาสตร์บางส่วนยังคงเชื่อว่าการอภิเษกสมรสระหว่างจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินกับตัวเอ๋อร์กุ่นเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้
เพราะการรับพี่สะใภ้ม่ายมาเป็นภรรยาเป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมแมนจูที่ต้องการป้องกันไม่ให้ทรัพย์สมบัติของหญิงม่ายตกไปเป็นของครอบครัวอื่น
(Rawski, 1998: 129) แต่เมื่อชาวแมนจูเข้ามาปกครองแผ่นดินจีนก็ค่อยๆ
ซึมซับวัฒนธรรมจีนซึ่งรวมไปถึงการยกย่องพรหมจรรย์ของสตรี ดังที่ทางการจีนสมัยราชวงศ์ชิงมีการประกาศเกียรติคุณหญิงม่ายพรหมจรรย์อย่างต่อเนื่อง
(นัยน์พัศ ประเสริฐเมฆากุล, 2555: 116 – 121) ด้วยเหตุนี้การอภิเษกสมรสของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินจึงเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจให้แก่ชนชั้นปกครองของราชวงศ์ชิงในเวลาต่อมา
จนมีการลบเรื่องดังกล่าวออกจากบันทึกของทางราชการ (Tao, 1991: 103 – 104) ขณะที่ซางหงขุย (商鸿逵ค.ศ. 1907 – 1983) นักประวัติศาสตร์ผู้เป็นศิษย์ของเมิ่งเซินก็ได้แสดงทัศนะว่า หากการอภิเษกสมรสระหว่างจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินกับตัวเอ๋อร์กุ่นเป็นเรื่องจริง
เราก็ควรพิจารณาเรื่องดังกล่าวว่าเป็นเหตุผลทางการเมืองมากกว่าที่จะตัดสินพระนางด้วยมาตรฐานทางศีลธรรม
(Dong, 2007: 292)
จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินกับรัชสมัยซุ่นจื้อ
ไม่ว่าการอภิเษกสมรสระหว่างจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินกับตัวเอ๋อร์กุ่นจะเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือไม่
แต่สิ่งที่เป็นความจริงก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิซุ่นจื้อกับบุคคลทั้งสองเป็นไปอย่างไม่ราบรื่น
การที่ตัวเอ๋อร์กุ่นขยายฐานอำนาจอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของทศวรรษ 1640 สร้างความไม่พอพระทัยแก่จักรพรรดิผู้ทรงพระเยาว์เป็นอย่างมาก
และแม้ว่าในเดือนมกราคม ค.ศ. 1651 จะมีการถวายพระนามแด่ตัวเอ๋อร์กุ่นซึ่งเสียชีวิตไปแล้วว่า
“จักรพรรดิอี้” (义皇帝) และ “เฉิงจง” (成宗) รวมทั้งยังนำป้ายวิญญาณของเขาไปประดิษฐานในพระอารามบรรพชน
(太庙) ร่วมกับจักรพรรดิและจักรพรรดินีในรัชกาลก่อนๆ
(Han Yongfu, 2004: 8) แต่เมื่อจักรพรรดิซุ่นจื้อวัย 13 พรรษาได้ขึ้นว่าราชการเองในเดือนถัดมาก็ทรงดำเนินการกวาดล้างบุคคลในเครือข่ายของตัวเอ๋อร์กุ่นครั้งใหญ่ แม่ทัพถานไท่และเหอลั่วฮุ่ยถูกประหารชีวิต
และมีการเชิญป้ายวิญญาณของตัวเอ๋อร์กุ่นออกจากพระอารามบรรพชน[3]
นอกจากจะทรงสลัดพระองค์เองให้พ้นจากเครือข่ายอำนาจของตัวเอ๋อร์กุ่นแล้ว
จักรพรรดิซุ่นจื้อยังต่อต้านการควบคุมจากจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินผู้เป็นพระราชชนนีอีกด้วย
โดยใน ค.ศ. 1651
จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินจัดการให้พระองค์อภิเษกสมรสกับพระภาติยะ (หลานอา) ของพระนางที่มาจากตระกูลเบอร์จิจิตและสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดินี
ซึ่งจักรพรรดิซุ่นจื้อก็ทรงยอมอภิเษกสมรสอย่างไม่เต็มพระทัยก่อนที่จะทรงปลดจักรพรรดินีองค์ดังกล่าวลงเป็นพระสนมจิ้งเฟย
(静妃) ใน ค.ศ. 1653
แต่จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินก็มิได้ทรงลดละความพยายามโดยทรงนำพระราชนัดดาจากตระกูลของพระนางมาอภิเษกสมรสเป็นจักรพรรดินีอีกใน
ค.ศ. 1654 ซึ่งมีการถวายพระนามเมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้วว่า จักรพรรดินีเสี้ยวฮุ่ยจาง
(孝惠章皇后ค.ศ. 1640 – 1717)
แต่จักรพรรดิซุ่นจื้อก็มิได้โปรดปรานจักรพรรดินีองค์ใหม่ที่พระราชชนนีจัดหามาให้แต่อย่างใด
พระองค์กลับโปรดปรานพระสนมต่งเอ้อ (董鄂妃ค.ศ. 1638 - 1660) และมีพระราชประสงค์จะปลดจักรพรรดินีเสี้ยวฮุ่ยจางและให้พระสนมองค์ดังกล่าวขึ้นดำรงตำแหน่งแทนแต่ไม่สำเร็จเนื่องจากจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินไม่เห็นด้วย
(Oxnam, 1975: 60) เมื่อพระสนมองค์ดังกล่าวเสียชีวิตลง
จักรพรรดิซุ่นจื้อซึ่งเสียพระทัยมากก็สถาปนาให้นางเป็นจักรพรรดินีเสี้ยวเสี้ยนตวนจิ้ง
(孝献端敬皇后)
ขณะเดียวกันจักรพรรดิซุ่นจื้อก็ทรงปกครองประเทศโดยไม่พึ่งพาขุนนางแมนจูอาวุโส
แต่ทรงสร้างบุคลากรขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นฐานอำนาจของพระองค์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งหน่วยงานทั้งสิบสาม
(十三衙门) เมื่อ
ค.ศ. 1653 เพื่อให้ขันที ขุนนางชาวฮั่น พระสงฆ์
และบาทหลวงเยซูอิตที่ทรงไว้วางพระทัยดูแลการบริหารราชกิจ การคลัง
และการแต่งตั้งข้าราชการ (Oxnam, 1975: 52 - 54) ทั้งหมดนี้สร้างความไม่พอพระทัยให้แก่จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เมื่อจักรพรรดิซุ่นจื้อซึ่งมีพระชนม์ 23 พรรษาประชวรด้วยพระโรคไข้ทรพิษจนสิ้นพระชนม์ในวันที่
5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1661 จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินได้ร่วมมือกับขุนนางแมนจูอาวุโสออกพระราชโองการที่อ้างว่าเป็นคำสั่งเสียของจักรพรรดิซุ่นจื้ออันมีเนื้อหากล่าวโทษพระองค์เองที่บริหารประเทศอย่างบกพร่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไว้วางพระทัยขันทีมากเกินไป
การพึ่งพาข้าราชการชาวฮั่นมากเกินไป การละเลยประเพณีและวัฒนธรรมแมนจู
และการหลงพระสนมจนลืมพระราชชนนี (Oxnam, 1975: 52) และในพระราชโองการก็กำหนดให้เสวียนเย่
(玄烨ประสูติ ค.ศ. 1654) พระราชโอรสองค์ที่ 3 วัย 8 พรรษาเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
โดยมีขุนนางแมนจูอาวุโสรวม 4 คน ได้แก่ สั่วหนี (索尼) ซูเค่อซาฮา
(苏克萨哈) เอ้อปี้หลง (遏必隆)
และอ๋าวไป้ (鳌拜) เป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งการขึ้นครองราชย์ของเสวียนเย่เป็นจักรพรรดิคังซีก็ทำให้จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินวัย
48 พรรษาได้เลื่อนสถานะขึ้นเป็นพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (太皇太后)
ซึ่งในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิงมีจักรพรรดินีเพียง 2 พระองค์เท่านั้นที่มีสถานะดังกล่าว[4]
จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินกับรัชสมัยคังซี
หลังการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิคังซีใน
ค.ศ. 1661 จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินทรงปล่อยให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ดำเนินการบริหารประเทศโดยไม่ทรงเข้าไปก้าวก่าย
และทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอภิบาลจักรพรรดิคังซีโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จักรพรรดินีเสี้ยวคังจาง
(孝康章皇后) พระราชชนนีของจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ลงในเดือนมีนาคม
ค.ศ. 1663 ซึ่งในครั้งนั้นพระนางไม่อนุญาตให้จักรพรรดิวัย 9
พรรษาเดินทางไปส่งพระศพโดยทรงให้เหตุผลว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นประสบการณ์ที่โหดร้ายเกินไปสำหรับเด็ก
(Oxnam, 1975: 167 – 168) อย่างไรก็ตาม
บทบาทในการอภิบาลจักรพรรดิคังซีของพระนางก็ส่งผลในทางการเมืองเช่นกัน โดยความเคลื่อนไหวสำคัญเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม
ค.ศ. 1665 เมื่อพระนางทรงเลือกหลานสาวของสั่วหนี
หนึ่งในผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้มาอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิคังซีและสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดินีโดยมีพระนามหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้วว่า
จักรพรรดินีเสี้ยวเฉิงเหริน (孝诚仁皇后ค.ศ. 1652 – 1674) ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างพันธมิตรทางการเมืองระหว่างจักรพรรดิกับกลุ่มของสั่วหนีจนทำให้จักรพรรดิคังซีสามารถว่าราชการได้ด้วยพระองค์เองในเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 1667 และทรงกำจัดซูเค่อซาฮาและอ๋าวไป้ได้สำเร็จในเดือนกันยายน
ค.ศ. 1667 และเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1669 ตามลำดับ
(Oxnam, 1975: 166 – 198) เรื่องดังกล่าวสะท้อนบทบาทอันชาญฉลาดของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินในการธำรงพระราชอำนาจของจักรพรรดิคังซีได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินยังทรงตระหนักอีกด้วยว่าการอุปถัมภ์พุทธศาสนานิกายลามะของทิเบตมีส่วนสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางทิศเหนือของราชวงศ์ชิง
เนื่องจากพุทธศาสนานิกายดังกล่าวเผยแผ่ไปถึงชาวมองโกล หากราชวงศ์ชิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทะไลลามะแห่งทิเบตแล้ว
ทะไลลามะก็จะใช้บารมีในการกล่อมเกลาไม่ให้ชาวมองโกลต่อต้านอำนาจของราชวงศ์ชิง
ดังนั้นใน ค.ศ. 1669
พระนางจึงโปรดให้มีการจัดทำ พระไตรปิฎกมังกรอักษรทิเบต (藏文龙藏经) จำนวน
108 เล่ม ความยาวเล่มละประมาณ 500 หน้า น้ำหนักเล่มละ 50
กิโลกรัม จารึกตัวอักษรด้วยทองคำรวม 5,000 ชั่ง (Cheng Hong, 2010) ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังกรุงไทเปบนเกาะไต้หวัน
การที่จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินทรงมีชาติกำเนิดเป็นชาวมองโกลก็มีส่วนสำคัญในการรักษาพระราชอำนาจของจักรพรรดิคังซีเช่นกัน
โดยในระหว่างที่จักรพรรดิคังซีทรงทำสงครามปราบปรามสามเจ้าศักดินา (三藩)[5] ในภาคใต้เมื่อ
ค.ศ. 1675
ผู้นำชาวมองโกลเผ่าชาฮาร์นามว่าเบอร์นี (布尔尼) ได้ถือโอกาสก่อกบฏและนำกำลังโจมตีนครเสิ่นหยาง
จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินจึงได้ส่งราชองครักษ์ไปเชิญผู้นำชาวมองโกลเผ่าต่างๆ
มาประชุม ณ กรุงปักกิ่งและนำไปสู่การจัดตั้งกองกำลังพันธมิตรระหว่างแมนจูกับมองโกลจนปราบปรามเบอร์นีได้สำเร็จ
(Spence, 2002: 140 - 141)
มีข้อสังเกตด้วยว่าในเวลาที่จักรพรรดิคังซีเสด็จไปเข้าเฝ้าจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินนั้น
พระองค์ไม่อนุญาตให้เจ้าพนักงานผู้จดบันทึกพระราชกิจรายวันตามเสด็จไปด้วย
โดยทรงให้เหตุผลว่าการเข้าเฝ้าดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงความกตัญญูตามปกติเท่านั้น
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่า จักรพรรดิคังซีทรงต้องการปรึกษาหารือเรื่องราวต่างๆ
กับพระอัยยิกาอย่างเป็นความลับ (Spence, 2002: 141) และคำชี้แนะของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินผู้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ทางการเมืองมายาวนานถึง
4 รัชกาลก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อจักรพรรดิคังซีอยู่ไม่น้อย
การสิ้นพระชนม์และปริศนาของสุสานจาวซี
จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่
27 มกราคม ค.ศ. 1688 ด้วยพระชนมายุ 75 พรรษา จักรพรรดิคังซีทรงแสดงความกตัญญูสูงสุดด้วยการตัดผมเปียของพระองค์เองซึ่งปกติแล้วจะทำในการถวายอาลัยแด่จักรพรรดิเท่านั้น
โปรดให้กางเต็นท์เพื่อที่พระองค์จะได้บรรทมเฝ้าพระศพของพระอัยยิกา รวมทั้งโปรดให้ยกเลิกงานฉลองตรุษจีนในปีนั้น
และมีการเชิญป้ายพระวิญญาณของพระนางเข้าไปประดิษฐานในพระอารามบรรพชนด้วย ทั้งๆ ที่มีป้ายพระวิญญาณของจักรพรรดินีเสี้ยวตวนเหวินซึ่งเป็นพระอัครมเหสีของจักรพรรดิหวงไท่จี๋ประดิษฐานอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ซึ่งขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงที่อนุญาตให้มีป้ายพระวิญญาณของจักรพรรดินีได้เพียงพระองค์เดียวต่อจักรพรรดิหนึ่งรัชกาล
(Rawski, 1998: 277)
ก่อนสิ้นพระชนม์
จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินได้รับสั่งเรื่องการพระศพกับจักรพรรดิคังซีไว้ว่าจักรพรรดิหวงไท่จี๋สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว
พระนางจึงไม่มีพระราชประสงค์ที่จะไปรบกวนสุสานของพระราชสวามี ณ นครเสิ่นหยาง แต่มีพระราชประสงค์ให้ฝังพระศพไว้ที่สุสานตะวันออกราชวงศ์ชิงในมณฑลเหอเป่ยเพื่อที่จะได้ทรงอยู่ใกล้ๆ
จักรพรรดิซุ่นจื้อและจักรพรรดิคังซีผู้เป็นพระราชโอรสและพระราชนัดดา อย่างไรก็ตามจักรพรรดิคังซีก็มิได้จัดการฝังพระศพของพระอัยยิกาในทันที
แต่กลับประดิษฐานพระศพเอาไว้ในอาคารชั่วคราวตลอดรัชกาล ตราบจน ค.ศ. 1725 จักรพรรดิยงเจิ้ง (雍正ครองราชย์ ค.ศ. 1722 –
1735) จึงจัดการฝังพระศพของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินเอาไว้ที่สุสานจาวซีซึ่งอยู่นอกกำแพงสุสานตะวันออกของราชวงศ์ชิง
(Han Yongfu, 2004: 6)
การที่พระศพของจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินได้รับการประดิษฐานไว้ในอาคารชั่วคราวเป็นเวลานานถึง 37 ปีนำมาสู่คำถามที่สำคัญว่า เหตุใดจักรพรรดิคังซีจึงไม่จัดการฝังพระศพตามพระราชประสงค์ของพระอัยยิกา
เป็นไปได้หรือไม่ที่จักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินทรงเคยอภิเษกสมรสกับตัวเอ๋อร์กุ่นจริง
และการที่พระนางมีพระราชสวามีสองพระองค์อาจทำให้จักรพรรดิคังซีตัดสินพระทัยไม่ได้ว่าควรฝังพระศพของพระอัยยิการวมกับพระศพของจักรพรรดิ
จักรพรรดินี พระสนม และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆ
ในสุสานตะวันออกของราชวงศ์ชิงหรือไม่ พระองค์จึงยกหน้าที่การตัดสินพระทัยเรื่องนี้ให้แก่จักรพรรดิรัชกาลต่อไป
ซึ่งในที่สุดการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิยงเจิ้งที่ให้ฝังพระศพเอาไว้นอกกำแพงสุสานก็ยิ่งยืนยันความเป็นไปได้ว่าจักรพรรดินีเสี้ยวจวงเหวินทรงอาจมีปมบางอย่างในพระชนม์ชีพที่ทำให้ไม่อาจฝังพระศพในเขตกำแพงสุสานได้
และปมดังกล่าวก็อาจหมายถึงการอภิเษกสมรสระหว่างพระนางกับตัวเอ๋อร์กุ่นนั่นเอง
เอกสารอ้างอิง
ภาษาไทย
นัยน์พัศ ประเสริฐเมฆากุล. (2555). พรหมจรรย์: กรงเกียรติยศสตรีในสมัยราชวงศ์ชิง.
ใน ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ (บก.), เหตุเกิดในราชวงศ์ชิง, น.
107 – 131. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ชวนอ่าน.
ภาษาจีน
Cheng Hong 程红(编)。(2010/06/22)。《藏文龙藏经》台北故宫。http://www.mzb.com.cn/html/node/132443-1.htm。
Du Jiaxiang 杜家骧 (编)。 (2010)。 《皇太极事典》 。 北京: 紫禁城出版社。
Han
Yongfu 韩永福。(2004)。《清初第一疑案 — 太后下嫁》,李国荣主编《清宫档案揭秘》第1
– 12 页。北京:中国青年出版社。
Yan
Chongnian 阎崇年。(2005)。《正说清朝十二帝》。
北京:中华书局。
ภาษาอังกฤษ
Dennerline, J. (2002). The Shun-chih Reign. In W. J. Peterson, ed. The
Cambridge History of China, Volume 9, Part One: the Ch’ing Empire to 1800, pp. 73 – 119.
New York, NY: Cambridge University Press.
Dong, M. Y.
(2007). How to Remember the Qing Dynasty: the Case of Meng Sen. In Tze-ki Hon
and R. J. Culp, eds. The Politics of Historical Production in Late Qing and
Republican China, pp. 272 – 294. Leiden: Brill.
Hsu, Cho-yun.
(2006). China: A New Cultural History. New York, NY: Columbia University
Press.
Kahn, H. L. (1971).
Monarchy in the Emperor’s Eyes: Image and Reality in the Ch’ien-lung Reign. Cambridge,
MA: Harvard University Press.
Li, G. R.
(2002). State Building before 1644. In W. J. Peterson, ed. The Cambridge
History of China, Volume 9, Part One: the Ch’ing Empire to 1800, pp. 9 –
72. New York, NY: Cambridge University Press.
Oxnam, R.
(1975). Ruling from Horseback: Manchu Politics in the Oboi Regency, 1661 –
1669. Chicago, IL: The University of Chicago Press.
Rawski, E. S.
(1998). The Last Emperors: A Social History of Qing Imperial Institutions.
Berkeley, CA: University of California Press.
Spence, J.
(2002). The K’ang-hsi Reign. In W. J. Peterson, ed. The Cambridge History of
China, Volume 9, Part One: the Ch’ing Empire to 1800, pp. 120 – 182. New
York, NY: Cambridge University Press.
Tao, Chia-lin
Pao. (1991). Chaste Widows and Institutions to Support Them in Late-Ch’ing
China. Asia Major, THIRD SERIES 4 (1), pp. 101 - 119.
-------------------------------------
[1] ระบบกองทัพแปดธงเริ่มใช้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1601
ประกอบไปด้วยกองทัพธงเหลือง ธงขาว ธงแดง ธงน้ำเงิน ธงเหลืองมีขอบ
ธงขาวมีขอบ ธงแดงมีขอบ และธงน้ำเงินมีขอบ
โดยกองทัพธงเหลืองและธงเหลืองมีขอบจะขึ้นตรงต่อจักรพรรดิ
[2] ร่างประวัติศาสตร์ราชวงศ์ชิง
เป็นความพยายามของรัฐบาลขุนศึกยุคต้นสาธารณรัฐจีนที่จะเขียนประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของราชวงศ์ชิง
โดยเริ่มเขียนใน ค.ศ.1914 แล้วเสร็จใน ค.ศ. 1927 แต่เมื่อพรรคกั๋วหมินตั่ง (国民党) ของเจียงไคเช็ค (蒋介石) สามารถปราบปรามขุนศึกและรวมประเทศได้สำเร็จใน
ค.ศ. 1928 ร่างประวัติศาสตร์ดังกล่าวก็ถูกสั่งห้ามเผยแพร่เนื่องจากรัฐบาลกั๋วหมินตั่งมองว่าเป็นมรดกจากรัฐบาลขุนศึกและเนื้อหาข้างในไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิวัติของ
ดร. ซุนยัตเซ็น (孙逸仙) ผู้ก่อตั้งพรรคกั๋วหมินตั่งเท่าที่ควร
[3] ต่อมาใน ค.ศ. 1778 จักรพรรดิเฉียนหลงทรงประกาศฟื้นฟูเกียรติภูมิของตัวเอ๋อร์กุ่นในฐานะที่เป็นผู้วางรากฐานการปกครองของราชวงศ์ชิง
[4] อีกพระองค์หนึ่งก็คือจักรพรรดินีเสี้ยวชินเสี่ยน
(孝钦显皇后ค.ศ.
1835 - 1908)
หรือพระนางซูสีไทเฮา (慈禧太后) พระราชชนนีของจักรพรรดิถงจื้อ พระนางมีสถานะเป็นพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าในวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพหลังการสถาปนาผู่อี๋
(溥仪) ขึ้นเป็นจักรพรรดิเซวียนถ่ง (宣统ครองราชย์ ค.ศ. 1908 – 1912)
โดยมีสถานะเป็นพระราชโอรสบุญธรรมของจักรพรรดิถงจื้อ
[5]
เจ้าศักดินาทั้งสามประกอบไปด้วยอู่ซานกุ้ย
(吴三桂) เกิ่งจิงจง (耿精忠) และซ่างเขอสี่ (尚可喜) พวกเขาเป็นอดีตนายทหารของราชวงศ์หมิงที่หันมาสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ชิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น