การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับเกาหลีใต้และปฏิกิริยาของเกาหลีเหนือ
ความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการระหว่างจีนกับเกาหลีใต้มิได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เทียนอันเหมินมากนัก
ประธานาธิบดีโรห์แตวู (Roh Tae Woo) แห่งเกาหลีใต้ปฏิเสธที่จะร่วมขบวนไปกับสหรัฐอเมริกาในการประณามการกระทำของจีน
โดยยังคงยึดมั่นในนโยบายมุ่งเหนือ (Nordpolitik) เพื่อสานสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยมต่อไป
และเมื่อจีนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ณ กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1990 เกาหลีใต้ก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและเทคโนโลยีสำหรับงานดังกล่าว[1]
และเป็นครั้งแรกที่ธงชาติของทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ถูกเชิญขึ้นที่สนามกีฬากรุงปักกิ่ง
ต่อมาในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน สมาคมการค้าระหว่างประเทศของจีน (China
International Chamber of Commerce) กับสมาคมส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของเกาหลีใต้
(Korea Trade and Investment Promotion Agency – KOTRA) ได้ทำข้อตกลงที่นำไปสู่การจัดตั้งสำนักงานการค้าระหว่างประเทศ
(Trade Office) ณ กรุงปักกิ่งและกรุงโซลในต้น ค.ศ. 1991
ซึ่งเรื่องนี้จีนได้แจ้งให้เกาหลีเหนือทราบล่วงหน้าและคิมอิลซุงก็ให้ความเห็นชอบ[2]
จีนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่นำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญใน
ค.ศ. 1991 เมื่อเกาหลีใต้แสดงความประสงค์จะเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติโดยถือว่าตนเองเป็นรัฐที่แยกต่างหากจากเกาหลีเหนือ
ขณะนั้นสหภาพโซเวียตได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้เรียบร้อยแล้ว
และกอร์บาชอฟประกาศอย่างชัดเจนระหว่างเดินทางเยือนเกาหลีใต้เมื่อเดือนเมษายนของปีนั้นว่าสหภาพโซเวียตจะไม่ขัดขวางการเข้าเป็นสมาชิกของเกาหลีใต้[3]
ในบรรดาสมาชิกถาวร 5 ประเทศของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจึงมีแต่จีนเท่านั้นที่ยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้และต้องตัดสินใจว่าจะสนับสนุนเรื่องดังกล่าวหรือไม่
โดยในระหว่างการเยือนกรุงเปียงยางเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1991 หลี่เผิงได้แจ้งให้เกาหลีเหนือทราบว่าคงเป็นการยากที่จีนจะใช้สิทธิยับยั้ง
(veto) ไม่ให้รับเกาหลีใต้เข้าเป็นสมาชิก[4] เมื่อได้ฟังเช่นนี้เกาหลีเหนือจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกพร้อมไปกับเกาหลีใต้
แต่คิมอิลซุงก็ยังกังวลว่าสหรัฐอเมริกาอาจขัดขวางเกาหลีเหนือ
เฉียนฉีเชินจึงเดินทางไปเยือนกรุงเปียงยางในเดือนถัดมาเพื่อยืนยันกับคิมอิลซุงว่าจีนจะช่วยให้การเข้าเป็นสมาชิกของเกาหลีเหนือเป็นไปอย่างราบรื่น[5] ในที่สุดเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่
17 กันยายน ค.ศ. 1991
การที่จีนผลักดันให้เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติพร้อมกันสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อถึงปลาย
ค.ศ. 1991 นโยบายเกาหลีเดียวที่จีนยึดมั่นตลอดมานับตั้งแต่สถาปนาประเทศนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วในทางปฏิบัติ
เหลือแต่เพียงกระบวนการเจรจาเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเท่านั้น
เฉียนฉีเชินจึงอาศัยโอกาสที่เดินทางไปประชุมองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก
(Asia-Pacific Economic Cooperation - APEC) ครั้งที่ 3
ณ
กรุงโซลเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีนั้นเพื่อพบกับประธานาธิบดีโรห์แตวู
โดยโรห์แตวูได้เปรียบเปรยว่าชายฝั่งตะวันตกของเกาหลีกับชายฝั่งตะวันออกของจีนอยู่ใกล้กันมากจนถึงขนาดได้ยินเสียงสุนัขเห่าและไก่ขันได้
เฉียนฉีเชินจึงตอบไปว่า “ในเมื่อสุนัขเห่าและไก่ขันยังได้ยินถึงกันก็ไม่ควรปฏิเสธการไปมาหาสู่กัน”[6] ซึ่งเท่ากับว่าทั้ง
2 ฝ่ายตกลงกันเป็นนัยที่จะมีความสัมพันธ์ทางการทูตนั่นเอง
สนามบินซุนอัน (Sunan Airport) กรุงเปียงยาง
อย่างไรก็ตาม
จีนมิได้รีบเร่งสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้ในทันทีเพราะจะต้องทำความเข้าใจกับเกาหลีเหนือเสียก่อน
โดยในเดือนเมษายน ค.ศ. 1992 หยางซ่างคุนเดินทางไปเยือนกรุงเปียงยางเพื่อร่วมงานฉลองวันเกิด
80 ปีของคิมอิลซุงพร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าจีนกำลังจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้
ซึ่งเมื่อคิมอิลซุงได้ฟังแล้วก็มีท่าทีไม่เห็นด้วยโดยขอให้จีน “พิจารณาให้ลุ่มลึกอีกเล็กน้อย”[7]
แต่จีนก็ยังคงเดินหน้าต่อไปจนการเจรจาระหว่างจีนกับเกาหลีใต้เสร็จสิ้นลงในเดือนมิถุนายนของปีนั้น
แต่ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะลงนามในแถลงการณ์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
เจียงเจ๋อหมินได้มอบหมายให้เฉียนฉีเชินเดินทางไปยังเกาหลีเหนืออีกครั้งในกลางเดือนกรกฎาคม
ค.ศ. 1992 “เพื่อเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อเกาหลีเหนือ”[8]
ผลปรากฏว่าเฉียนฉีเชินได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชาที่กรุงเปียงยาง
ดังปรากฏในบันทึกการทูตของเขา ความตอนหนึ่งว่า
เมื่อก่อนเวลามาเยือนเกาหลีเหนือครั้งใด
ก็จะพบกับบรรยากาศที่ครึกครื้น มีคณะต้อนรับใหญ่โต
แต่ครั้งนี้เครื่องลงจอดในมุมสนามบินลับตาคน ส่วนบุคคลที่มารับข้าพเจ้านั้นมีแต่นายคิมยองนัม
(Kim Yong Nam)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้นเอง[9]
ในการพบปะกับคิมอิลซุง
ณ บ้านพักตากอากาศฤดูร้อน เฉียนฉีเชินได้ชี้แจงถึงความจำเป็นที่จีนต้องสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้
และย้ำว่าจีนจะยังคงให้ความสำคัญกับมิตรภาพที่มีกับเกาหลีเหนืออยู่ต่อไป
รวมทั้งสนับสนุนการผ่อนคลายความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีและการรวมเกาหลีโดยสันติวิธี
ซึ่งคิมอิลซุงก็นั่งฟังเพียงครู่เดียวโดยบอกว่ารับทราบและเข้าใจจุดยืนของจีน
แม้ว่าในบันทึกของเฉียนฉีเชินจะกล่าวถึงคิมอิลซุงอย่างยกย่อง
หากแต่เมื่อดูจากเนื้อหาในบันทึกแล้วจะพบว่าคิมอิลซุงปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชาอยู่ไม่น้อย
ดังความตอนหนึ่งว่า
ท่านประธานาธิบดีคิมอิลซุงได้มองดูหยกแกะสลักเก้ามังกรคลอมุกและลิ้นจี่สดที่ข้าพเจ้านำมาฝากท่านแวบหนึ่ง
แล้วท่านก็ลุกขึ้นส่งแขก เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ ครั้งนี้เป็นการพบปะประธานาธิบดีคิมอิลซุงของคณะผู้แทนจีนที่ใช้เวลาสั้นที่สุด
และหลังการพบปะก็มิได้มีการจัดงานเลี้ยงรับรองอย่างที่เคยทำกันมาในอดีต[10]
ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1992 เฉียนฉีเชินกับลีซางอุก (Lee
Sang Ock) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ได้ลงนามในแถลงการณ์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
ณ เรือนรับรองเตี้ยวอวี๋ไถ (Diaoyutai) ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเท่ากับปิดฉากนโยบายเกาหลีเดียวของจีนไปอย่างเป็นทางการ
แต่ก็มีข้อสังเกตว่าในวันเดียวกันนั้นคณะทูตสันถวไมตรีจากกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนได้เดินทางไปเยือนกรุงเปียงยาง[11]
อันสะท้อนให้เห็นว่าจีนยังคงให้ความสำคัญกับเกาหลีเหนือในยุคหลังสงครามเย็นอยู่ต่อไป
-------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น