“เกาหลีเหนือไม่ใช่ทั้งพันธมิตรและศัตรูของจีน
หากแต่เป็นเพียงประเทศเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งเท่านั้น”
หลี่เผิง
นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือได้มาถึงจุดเปลี่ยนแปลงเมื่อสิ้นทศวรรษ
1980 อันเป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต
เหตุการณ์เทียนอันเหมินที่เกิดขึ้นพร้อมๆ
กับการสิ้นสุดของสงครามเย็นและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียต
รวมทั้งการที่จีนยังคงเดินหน้านโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศต่อไป ซึ่งทำให้ในที่สุดจีนตัดสินใจสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้ใน
ค.ศ. 1992 อันเป็นการปิดฉากนโยบายเกาหลีเดียวที่ยึดมั่นมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเมื่อ
ค.ศ. 1949 ลงไปอย่างถาวร และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือเป็นไปอย่างค่อนข้างห่างเหินเกือบตลอดช่วงทศวรรษ
1990
ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศและในประเทศของจีนเมื่อสิ้นทศวรรษ
1980 และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ
หลังจากที่ประธานาธิบดีเลโอนิด
เบรชเนฟ (Leonid Brezhnev) แห่งสหภาพโซเวียตแสดงสุนทรพจน์ที่เมืองทาชเคนต์
(Tashkent) ของสาธารณรัฐอุซเบกิสถานเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1982
ซึ่งมีเนื้อหาแสดงความปรารถนาจะปรับปรุงความสัมพันธ์กับจีน
ทางการจีนได้ตอบรับด้วยการเสนอว่าสหภาพโซเวียตจะต้องขจัด “อุปสรรค 3 ประการ” ออกไปให้ได้เสียก่อน นั่นคือ (1) การถอนทหารออกจากชายแดนจีน-โซเวียตและจีน-มองโกเลีย
(2) การถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน และ (3) การหว่านล้อมให้เวียดนามถอนทหารออกจากกัมพูชา ซึ่งในที่สุดเมื่อมิคาอิล
กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev) ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตใน
ค.ศ. 1985 เขาก็ได้รับปากทำตามข้อเสนอของจีน
จนนำไปสู่การเดินทางเยือนกรุงมอสโกของเฉียนฉีเชิน (Qian Qichen) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1988
ซึ่งเขาเรียกการเยือนในครั้งนั้นว่า “การเยือนที่ละลายน้ำแข็ง”[2]
และนำไปสู่การเดินทางเยือนจีนของกอร์บาชอฟเพื่อพบกับเติ้งเสี่ยวผิงในเดือนพฤษภาคม
ค.ศ. 1989 การสิ้นสุดของความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียตที่ยาวนาน
3 ทศวรรษทำให้จีนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องของเกาหลีเหนือเพื่อแข่งขันกับสหภาพโซเวียตอีกต่อไป
ดังที่จ้าวจื่อหยางบอกกับคิมอิลซุงระหว่างเดินทางเยือนเกาหลีเหนือเมื่อเดือนเมษายน
ค.ศ. 1989 ว่าจีนต้องการสภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศที่มีสันติภาพและจะไม่แข่งขันกับสหภาพโซเวียตในการสร้างอิทธิพลเหนือคาบสมุทรเกาหลี[3]
แม้กระนั้น
ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ต่อต้นทศวรรษ 1990 จีนก็ยังคงให้ความสำคัญกับเกาหลีเหนืออยู่พอสมควร
ทั้งนี้เป็นผลมาจากเหตุการณ์เทียนอันเหมินเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน
ค.ศ. 1989 ที่ทางการจีนใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงจนถูกประณามจากโลกตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน
ซึ่งมุมมองของทางการจีนนั้นถือว่าความวุ่นวายดังกล่าวทั้งในจีนและในยุโรปตะวันออกเวลาเดียวกันล้วนแต่เป็นผลมาจากการวางแผนของโลกตะวันตกที่จะบ่อนทำลายโลกสังคมนิยมโดยไม่ทำสงคราม
หรือที่เรียกว่า “การแปรเปลี่ยนอย่างสันติ (peaceful evolution)”[4]
ดังที่เติ้งเสี่ยวผิงกล่าวกับแกนนำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อวันที่ 16
มิถุนายนของปีนั้นว่า
พวกจักรวรรดินิยมตะวันตกกำลังพยายามทำให้ประเทศสังคมนิยมทั้งหลายละทิ้งเส้นทางสังคมนิยม
นำพาพวกเขาไปสู่กฎเกณฑ์ของทุนผูกขาดระหว่างประเทศ และนำไปสู่เส้นทางของลัทธิทุนนิยม
เราจะต้องมุ่งมั่นต่อต้านกระแสทวนที่ว่านี้ เพราะหากเราไม่ยึดมั่นในลัทธิสังคมนิยม
ในที่สุดเราจะกลายเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพิงประเทศอื่นๆ และยากที่จะพัฒนาต่อไปได้[5]
เหตุการณ์เทียนอันเหมินทำให้จีนพยายามกระชับความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือในฐานะประเทศสังคมนิยมที่ยังเหลืออยู่ท่ามกลางกระแสของ
“การแปรเปลี่ยนอย่างสันติ” จากโลกตะวันตก
เมื่อคิมอิลซุงเดินทางเยือนจีนอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 เติ้งเสี่ยวผิงก็ได้เดินขึ้นไปต้อนรับเขาถึงบนขบวนรถไฟพร้อมกับแนะนำให้รู้จักเจียงเจ๋อหมิน
(Jiang Zemin) เลขาธิการพรรคคนใหม่[6]
และทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำว่าจะเดินบนเส้นทางสังคมนิยมต่อไป
รวมทั้งวิจารณ์นโยบายเปิดสังคม (Glasnost) และปรับระบบเศรษฐกิจ
(Perestroika) ของกอร์บาชอฟว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกสังคมนิยมต้องปั่นป่วน[7] และใน
ค.ศ. 1990 ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 40 ปีแห่งการเข้าร่วมสงครามเกาหลีของจีน
กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนได้จัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เจียงเจ๋อหมินและฉินจีเหว่ย (Qin
Jiwei) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของจีนผู้เคยร่วมรบในสงครามเกาหลีได้เดินทางไปเยือนกรุงเปียงยางในเดือนมีนาคมและสิงหาคมของปีนั้นตามลำดับ
ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1991 หลี่เผิง (Li Peng) นายกรัฐมนตรีของจีนได้เดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือ
ขณะที่คิมอิลซุงก็เดินทางเยือนจีนอีกครั้ง (และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา) ในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน
คิมอิลซุงเดินทางเยือนจีนครั้งสุดท้ายเมื่อ ค.ศ. 1991
(จากซ้ายไปขวา) หยางซ่างคุน คิมอิลซุง เจียงเจ๋อหมิน หลี่เผิง
อย่างไรก็ตาม
การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือในช่วงดังกล่าวมิได้หมายความว่าจีนจะยึดมั่นในนโยบายเกาหลีเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ในเวลาเดียวกับที่จีนกำลังเกรงกลัว “การแปรเปลี่ยนอย่างสันติ” อยู่นั้น
เติ้งเสี่ยวผิงก็เน้นย้ำว่าหนทางที่จะทำให้ลัทธิสังคมนิยมของจีนอยู่รอดได้ก็คือการเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ
ดังที่เขากล่าวกับแกนนำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1989 ว่า
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจะต้องไม่เกิดความวุ่นวายในประเทศจีน
และเราควรจะเดินหน้านโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศต่อไป ถ้าไม่ทำเช่นนี้ประเทศจีนก็จะหมดอนาคต
เราประสบความสำเร็จในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเพราะอาศัยการปฏิรูปและเปิดประเทศ
ตราบเท่าที่เรายังดำเนินนโยบายเหล่านี้และชูธงสังคมนิยมอย่างเข้มแข็ง
จีนก็จะมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง[8]
หลังเหตุการณ์เทียนอันเหมิน
จีนจึงยังคงเดินหน้าขยายความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้อยู่ต่อไป แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5
ปี ฉบับที่ 8 ของจีน (ค.ศ.
1991-1995) ได้วางเป้าหมายที่จะสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(Northeast Economic Development Zone) ซึ่งจะเป็นจริงได้โดยอาศัยทุนจากเกาหลีใต้[9]
ขณะเดียวกันประเทศอื่นๆ ในค่ายสังคมนิยมก็เริ่มหันมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้
เริ่มจากฮังการีในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 และที่สำคัญที่สุดก็คือสหภาพโซเวียตในเดือนกันยายน
ค.ศ. 1990 ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ทางการจีนเดินหน้าไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้ควบคู่ไปกับความพยายามสื่อสารให้ทางการเกาหลีเหนือทราบเพื่อรักษามิตรภาพระหว่างกันเอาไว้
--------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น