แม้ว่าการก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือภายใต้การนำของของคิมอิลซุงจะเป็นผลงานของสหภาพโซเวียตที่เข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่
2 หากแต่คิมอิลซุงก็มีความผูกพันกับประเทศจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ไม่น้อย
เขาเกิดเมื่อ ค.ศ. 1912 และได้รับการศึกษาในวัยเด็กจากโรงเรียนจีนในแมนจูเรียจนพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วและสื่อสารกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้
สมาชิกพรรคที่ชักนำให้เขารู้จักลัทธิมากซ์ในทศวรรษ 1930 ก็คือ
เว่ยเจิ่งหมิน (Wei Zhengmin) ซึ่งใน ค.ศ. 1935 เป็นประธานคณะกรรมการการเมืองของกองทัพต่อต้านญี่ปุ่นแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(The Political Committee of the Northeast Anti-Japanese United Army)[1] คิมอิลซุงทำงานในกองทัพดังกล่าวช่วง ค.ศ. 1932 - 1941 แล้วจึงหนีการปราบปรามของญี่ปุ่นไปอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกไกลของสหภาพโซเวียตก่อนจะกลับมาเป็นผู้นำพรรคกรรมกรเกาหลี
(The Korean Workers’ Party) เมื่อญี่ปุ่นปราชัยใน ค.ศ. 1945
ในสงครามกลางเมืองของจีนช่วง
ค.ศ. 1946 – 1949 คิมอิลซุงได้ให้การสนับสนุนทางการทหารแก่พรรคคอมมิวนิสต์จีน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปีแรกของสงครามที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนเป็นฝ่ายเสียเปรียบกองทัพกั๋วหมินตั่ง
คาดกันว่าในต้น ค.ศ. 1947 มีทหารเกาหลีจำนวนราว 75,000
– 100,000 คนเข้าไปช่วยพรรคคอมมิวนิสต์จีนจนกลายเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของกองพลที่
156, 164 และ 165 ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน
และพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังใช้พื้นที่ตอนบนของคาบสมุทรเกาหลีเป็นที่พักของทหารและแหล่งธัญญาหารบำรุงกองทัพอีกด้วย[2] จนเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนกลายเป็นฝ่ายรุก
ทหารเกาหลีส่วนใหญ่จึงทยอยเดินทางกลับประเทศ แต่ก็มีบางส่วนที่ยังช่วยรบจนกระทั่งสมรภูมิสุดท้ายทางทิศใต้คือการบุกยึดเกาะไห่หนาน
(Hainan) หรือไหหลำในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1950[3] และเมื่อมีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่
1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 เกาหลีเหนือก็เป็นประเทศลำดับที่
5 ที่ประกาศรับรองรัฐบาลจีนใหม่ถัดจากสหภาพโซเวียต บัลแกเรีย
โรมาเนีย และฮังการีในวันที่ 6 ตุลาคมของปีนั้นเอง และในอีก 1
ปีถัดมาจีนก็ต้องเข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน
นั่นคือสงครามเกาหลี
คิมอิลซุงกับเหมาเจ๋อตงบนประตูเทียนอันเหมิน
จีนกับการเข้าร่วมสงครามเกาหลี
หลังจากที่มีการแบ่งเกาหลีเป็น
2 ส่วนหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 คิมอิลซุง
ผู้นำของเกาหลีเหนือมีความมุ่งมั่นตลอดมาที่จะรวมประเทศด้วยการใช้กำลัง
ประเด็นที่ว่าจีนมีส่วนสนับสนุนให้เกาหลีเหนือบุกเกาหลีใต้ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 หรือไม่นั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
งานศึกษาของ Chen Jian เสนอว่าในโลกทัศน์ของเหมาเจ๋อตง
การเผชิญหน้ากับโลกทุนนิยมที่นำโดยสหรัฐอเมริกาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้งยังจะเป็นประโยชน์ต่อการปลุกระดมมวลชนให้มีจิตสำนึกของการปฏิวัติตลอดกาลอีกด้วย
จีนในต้นยุคสงครามเย็นจึงดำเนินนโยบาย “เอียงเข้าข้างหนึ่ง” (lean to one
side) โดยลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรกับสหภาพโซเวียตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ค.ศ. 1950 และในช่วงกลาง ค.ศ. 1949 ถึงต้น
ค.ศ. 1950 จีนได้อนุญาตให้ทหารเกาหลีเหนือที่มาช่วยรบในสงครามกลางเมืองจีนจำนวนราว
50,000 คนเดินทางกลับประเทศได้
ซึ่งต่อมาทหารเหล่านี้ส่วนหนึ่งกลายเป็นกองพลที่ 5 แห่งกองทัพประชาชนเกาหลีที่ตั้งมั่นอยู่ใกล้เส้นขนานที่
38 จึงเท่ากับว่าจีนมีส่วนสนับสนุนให้เกิดสงครามครั้งนี้[4]
ตรงข้ามกับนักวิชาการหลายคนที่มองว่าการส่งทหารกลับไปในครั้งนั้นเป็นเพราะพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในสงครามกลางเมืองแล้ว
และควรกลับไปยังเกาหลีเหนือเพื่อป้องกันการรุกรานจากเกาหลีใต้ที่อาจเกิดขึ้นได้
อีกทั้งเป้าหมายหลักทางการทหารของเหมาเจ๋อตงช่วง ค.ศ. 1949 – 1950 ก็คือการบุกยึดเกาะไต้หวัน
เหมาจึงไม่สนับสนุนการบุกเกาหลีใต้เพราะเกรงจะเป็นการเปิดศึก 2 ด้าน[5] จนกระทั่งในเดือนเมษายน ค.ศ. 1950
เมื่อคิมอิลซุงได้รับความเห็นชอบจากโจเซฟ สตาลิน (Joseph
Stalin) นายกรัฐมนตรีแห่งสหภาพโซเวียตให้บุกเกาหลีใต้ได้ เหมาในฐานะผู้น้อยที่ไม่อาจขัดสตาลินได้จึงจำต้องเห็นชอบ[6]
ไม่ว่าจีนจะมีส่วนสนับสนุนให้เกาหลีเหนือก่อสงครามหรือไม่
หากแต่ปฏิกิริยาของสหรัฐอเมริกาหลังจากที่เกาหลีใต้ถูกโจมตีนั้นสร้างความกังวลใจแก่เหมาเจ๋อตงเป็นอย่างยิ่ง
ประธานาธิบดีแฮรี เอส ทรูแมน (Harry S. Truman) แห่งสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่
27 มิถุนายน ค.ศ. 1950 ให้กองเรือที่ 7
เคลื่อนไปยังช่องแคบไต้หวันเพื่อคุ้มครองรัฐบาลกั๋วหมินตั่ง
จึงเท่ากับเป็นการขัดขวางแผนการบุกไต้หวันของเหมา ต่อมาในวันที่ 15 กันยายนของปีเดียวกัน กองทัพสหประชาชาตินำโดยพลเอกดักลาส แมกอาเธอร์ (Douglas
McArthur) แห่งสหรัฐฯ ได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองอินชอน (Inchon) และเมื่อถึงสิ้นเดือนนั้นก็สามารถขับไล่ทหารเกาหลีเหนือกลับขึ้นไปจนข้ามเส้นขนานที่
38 ยึดกรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือ
และมุ่งหน้าทิศเหนือสู่แม่น้ำยาลู่ (Yalu) ที่ติดกับพรมแดนของจีน
คิมอิลซุงได้เรียกทูตจีนประจำเกาหลีเหนือเข้าพบเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมของปีนั้นเพื่อขอให้จีนส่งทหารมาช่วย เขายังส่งปักอิลยู (Pak
Il U) เดินทางมากรุงปักกิ่งเพื่อยื่นจดหมายที่เขาเขียนด้วยลายมือตนเองอีกด้วย
เหมาเจ๋อตงเรียกประชุมกรรมการกรมการเมืองอย่างเร่งด่วนในวันที่ 4 ตุลาคมเพื่อขอมติส่งทหารไปช่วยเกาหลี
แต่กรรมการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยโดยให้เหตุผลว่า (1) สาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่งก่อตั้งและมีปัญหาภายในที่ต้องชำระสะสางอีกมาก
(2) ทหารจีนไม่คุ้นเคยกับสภาพพื้นที่ของคาบสมุทรเกาหลี และ
(3) อาวุธของจีนไม่ทันสมัยเท่าสหรัฐฯ ซึ่งเหมาได้โต้แย้งเหตุผลเหล่านี้โดยระบุว่า
(1) การช่วยเกาหลีเหนือเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องการปฏิวัติโลก
(2) หากสูญเสียเกาหลีเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนจะไม่มีเขตกันชนอีกต่อไป และ (3) แม้อาวุธของจีนจะไม่ทันสมัยเท่าสหรัฐฯ แต่จีนก็ได้เปรียบกว่าในแง่กำลังคน
ขวัญกำลังใจ และแรงสนับสนุนจากคนในประเทศ[7] ในที่สุดจอมพลเผิงเต๋อหวย
(Peng Dehuai) ซึ่งเป็นหนึ่งในเสียงข้างน้อยที่สนับสนุนการส่งทหารไปช่วยเกาหลีเหนือ[8] ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารและนำกองทัพข้ามแม่น้ำยาลู่ไปช่วยเกาหลีเหนือเมื่อวันที่
18 ตุลาคม ค.ศ. 1950
การเข้าร่วมสงครามเกาหลีของทหารจีนจำนวน
1,350,000 คนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เกาหลีเหนือยึดกรุงเปียงยางคืนมาได้และขับไล่กองทัพสหประชาชาติลงไปที่เส้นขนานที่
38 ได้สำเร็จในเดือนมกราคม ค.ศ. 1951 อย่างไรก็ตาม
จุดยืนที่แตกต่างกันระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือก็ปรากฏขึ้นในระหว่างสงครามเมื่อเหมาเจ๋อตงเห็นว่าเป็นการยากที่จะขับไล่กองทัพสหประชาชาติออกไปจากคาบสมุทรเกาหลีได้ทั้งหมด
และการที่จีนสามารถขับไล่กองทัพสหประชาชาติลงไปที่เส้นขนานที่ 38 ได้สำเร็จก็นับว่าเป็นชัยชนะแล้ว หากแต่คิมอิลซุงผู้ก่อสงครามนั้นถือว่าชัยชนะสำหรับเขาจะต้องหมายถึงการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
แต่เนื่องจากคิมมีกำลังทหารน้อยกว่าจึงต้องยอมตามที่เหมาต้องการ[9]
โดยในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1953 มีการทำข้อตกลงสงบศึกระหว่างกองทัพจีนและกองทัพเกาหลีเหนือฝ่ายหนึ่งกับกองทัพสหประชาชาติอีกฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งเท่ากับว่าเกาหลียังคงแบ่งเป็นเหนือกับใต้ตามเดิม เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนเล็กน้อยเท่านั้น
ความล้มเหลวในการใช้กำลังรวมประเทศของคิมอิลซุงทำให้กลุ่มของโชชางอิก
(Choe Chang Ik) ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจของเขาในพรรค กลุ่มดังกล่าวมีชื่อเรียกว่ากลุ่มเอี๋ยนอัน
(The Yan’an Group) เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มจำนวนมากเคยทำงานร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ยังตั้งมั่นอยู่ที่เมืองเอี๋ยนอันในมณฑลส่านซี
พวกเขาจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำของจีนมากกว่าที่คิมอิลซุงมี
แต่แล้วความเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ใน ค.ศ. 1956 ก็ล้มเหลวและมีสมาชิกบางส่วนลี้ภัยไปยังจีน
เหมาเจ๋อตงจึงส่งจอมพลเผิงเต๋อหวยและจอมพลเนี่ยหรงเจิน (Nie Rongzhen) เดินทางไปเกาหลีเหนือเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1957 เพื่อเจรจาขอให้คิมอิลซุงรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้กลับเป็นสมาชิกพรรคตามเดิม
ซึ่งก็สำเร็จเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น
เพราะการแทรกแซงจากจีนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเอี๋ยนอันรวมถึงการที่จีนยังคงทหารเกือบ 500,000
คนเอาไว้ในเกาหลีเหนือหลังสงครามเกาหลีทำให้คิมอิลซุงเกรงว่าจีนอาจเป็นปัจจัยที่บั่นทอนอำนาจทางการเมืองของเขา
ดังนั้นในปลายปีนั้นเองเขาได้ทำการกวาดล้างกลุ่มเอี๋ยนอันอีกครั้งและเรียกร้องให้จีนเคารพอำนาจอธิปไตยของเกาหลีเหนือด้วยการถอนทหารออกไป
จีนจึงยอมถอนทหารทั้งหมดใน ค.ศ. 1958[10] เหตุการณ์นี้ทำให้สถานะความเป็นผู้นำของคิมอิลซุงนั้นโดดเด่นและดูเป็นอิสระจากจีนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทหารจีนที่คงอยู่ในเกาหลีเหนือจนถึง
ค.ศ. 1958 มีบทบาทสำคัญในการเป็นแรงงานช่วยฟื้นฟูบูรณะเกาหลีเหนือหลังสงคราม
และจีนยังให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกาหลีเหนืออีกด้วย เมื่อคิมอิลซุงเดินทางไปเยือนจีนในเดือนพฤศจิกายน
ค.ศ. 1953 จีนได้ตกลงให้เงินกู้เป็นจำนวน 800,000,000
หยวน และเงินช่วยเหลือที่จีนให้แก่เกาหลีเหนือใน ค.ศ. 1954 คิดเป็นร้อยละ 3.4 ของงบประมาณของจีนในปีนั้น[11] ต่อมาใน ค.ศ. 1958 จีนยังให้เงินกู้แก่เกาหลีเหนืออีก
25,000,000 เหรียญสหรัฐ และช่วยสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำอึนบอง (Unbong)
400,000 กิโลวัตต์บนแม่น้ำยาลู่อีกด้วย[12]
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จะมีความขัดแย้งกันในช่วงระหว่างสงครามและหลังสงคราม
หากแต่โดยรวมแล้วจีนยังต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเกาหลีเหนือเอาไว้
และการรักษาความสัมพันธ์ดังกล่าวจะจำเป็นยิ่งขึ้นเมื่อจีนกับสหภาพโซเวียตกลายเป็นศัตรูกันในทศวรรษ
1960
-------------------------------------------
[4]
Chen Jian, “China’s Road to the Korean War: A Critical Study of the Origins of
Sino-American Confrontation, 1949-1950,” (Ph.D. diss., Southern Ilinois University
at Carbondale, 1990), passim; Chen Jian, Mao’s China and the Cold War
(Chapel Hill, NC: University of North Carolina Press, 2001), 49-84; Chen,
“Limits of the ‘Lips and Teeth’ Alliance,” 5.
[5] Sergei N. Goncharov, John W. Lewis, and Xue Litai, Uncertain
Partners: Stalin, Mao, and the Korean War (Stanford, CA: Stanford
University Press, 1993), 130-167; เสิ่นจื้อหัว, “จงซูถงเหมิง
เฉาเสี่ยนจ้านเจิงอวี่เหลิ่งจ้านไจ้ย่าโจวเตอะซิงฉี่,” (พันธมิตรจีน-โซเวียต
สงครามเกาหลีกับการเกิดขึ้นของสงครามเย็นในเอเชีย) ใน เหลิ่งจ้านสือชีเตอะจงกั๋วตุ้ยว่ายกวานซี่,
(วิเทศสัมพันธ์ของจีนยุคสงครามเย็น) บก. หยางขุยซง (เป่ยจิง: เป่ยจิงต้าเสวียชูป่านเส้อ, 2006),
30-53.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น